เทรนด์ใหม่ของอุปกรณ์อัจฉริยะ: จากโทรศัพท์มือถือสู่ชุดหูฟัง MR เปิดบทใหม่ในชีวิตอนาคต

ในยุคดิจิทัลทุกวันนี้ สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผู้คน การตื่นนอนในแต่ละวัน เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หมอน เลื่อนหน้าจออย่างรวดเร็วระหว่างเดินทาง และจมอยู่กับข้อมูลข่าวสารก่อนจะหลับไป สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่าหนึ่งพันล้านคนในจีน จากสถิติพบว่า ภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันในประเทศของฉันจะเกินสี่ชั่วโมง โดยใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ไม่รวมเวลานอนและการทำงาน อย่างไรก็ตาม การใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลายไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ในเวลาไม่ถึง 20 ปี นับตั้งแต่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี พ.ศ. 2550 โทรศัพท์มือถือได้พัฒนาจากเครื่องมือสื่อสารที่เรียบง่ายไปสู่แพลตฟอร์มที่ครอบคลุมซึ่งผสานรวมฟังก์ชันต่างๆ ไว้ด้วยกัน ซึ่งเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราไปอย่างสิ้นเชิง

แม้สมาร์ทโฟนจะดูเหมือนมีศักยภาพเหนือทุกสิ่ง แต่ก็มีข้อจำกัดสำคัญเช่นกัน หน้าจอสองมิติของสมาร์ทโฟนสามารถแสดงเนื้อหาเสมือนจริงได้เท่านั้น ไม่สามารถโต้ตอบกับโลกสามมิติที่แท้จริงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกายภาพเลย ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่แรกเริ่ม สมาร์ทโฟนถูกกำหนดให้ไม่สามารถปล่อยมือมนุษย์ได้ ซึ่งในระดับหนึ่งก็เป็นข้อจำกัดในการพัฒนาต่อไป ดังนั้น เมื่อมองไปข้างหน้า อุปกรณ์อัจฉริยะจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างไร

จอแสดงผลแบบสวมศีรษะที่ใช้เทคโนโลยี Mixed Reality (MR) นำเสนอวิธีการโต้ตอบแบบใหม่ที่เชื่อมโยงโลกดิจิทัลและโลกกายภาพเข้าด้วยกัน MR ผสานรวมเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ที่คุ้นเคยเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดทั้ง Virtual Reality เต็มรูปแบบและการผสานรวมเนื้อหาเสมือนจริงเข้ากับสภาพแวดล้อมจริง ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเนื้อหาผ่านการเคลื่อนไหวของดวงตา ท่าทาง และวิธีการอื่นๆ ได้ด้วยการสวมชุดหูฟัง MR ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานโทรศัพท์มือถือได้อย่างมาก

Vivo ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนาน 30 ปีในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ และความเป็นผู้นำด้านยอดขายในกลุ่มผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในประเทศมาเกือบสี่ปี ตระหนักถึงเทรนด์นี้เป็นอย่างดี และได้เข้าสู่ตลาดชุดหูฟัง MR อย่างเป็นทางการด้วยการเปิดตัว Vivo Vision ในปีนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่การติดตามเทรนด์อย่างไร้จุดหมาย แต่เป็นการประเมินความต้องการของผู้ใช้และการพัฒนาในอนาคตอย่างมีวิสัยทัศน์ หู บาชาน รองประธานบริหารของ Vivo กล่าวว่า จุดแข็งของ Vivo อยู่ที่ข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้ การจดจำฉาก และเทคโนโลยีสำคัญๆ เช่น ความสามารถในการถ่ายภาพและโมเดล AI ขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ให้การสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาชุดหูฟัง MR

ชุดหูฟัง MR ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งอาจเป็นการต่อยอดและเติมเต็มการใช้งานโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้บรรลุการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและการนำไปใช้อย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับสมาร์ทโฟน ชุดหูฟัง MR จำเป็นต้องเอาชนะ "สามปัจจัย" ได้แก่ เทคโนโลยี สถานการณ์การใช้งาน และราคา ชุดหูฟังต้องสวมใส่ง่าย ตอบสนองการใช้งานได้อย่างราบรื่น ตอบสนองการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนและราคาได้อย่างมีนัยสำคัญ IDC บริษัทที่ปรึกษาระดับนานาชาติ คาดการณ์ว่ายอดจัดส่งชุดหูฟัง MR จะเติบโตจาก 3.3 ล้านเครื่องในปี 2568 เป็นมากกว่า 15.2 ล้านเครื่องในปี 2572 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 46.5% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการตลาดอันมหาศาล

ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของ Vivo ในการพัฒนาชุดหูฟัง MR รุ่นใหม่นี้ ขับเคลื่อนด้วยความเชี่ยวชาญด้าน "Blue Technology" ที่สั่งสมมายาวนาน และนวัตกรรมที่มุ่งเน้นผู้ใช้เป็นหลัก "Blue Technology" ครอบคลุมความสามารถด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบบูรณาการของ Vivo ตั้งแต่นวัตกรรมเทคโนโลยีระดับล่างไปจนถึงนวัตกรรมการใช้งานระดับสูง ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การออกแบบ การสร้างภาพ ประสิทธิภาพ และระบบ ชิปประมวลผลภาพ Blueprint ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Vivo และ Blue Heart ขนาดใหญ่ ให้การสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาชุดหูฟัง MR ชิปประมวลผลภาพนี้ช่วยเพิ่มพลังการประมวลผล เพิ่มประสิทธิภาพการจดจำและการสร้างภาพ ส่วนรุ่นขนาดใหญ่ช่วยเพิ่มความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ของระบบ และลดอุปสรรคในการเข้าถึง

ในฐานะผลิตภัณฑ์รุ่นแรก vivo Vision สะท้อนวิสัยทัศน์ของ vivo และการมุ่งมั่นสู่อนาคตของชุดหูฟัง MR ชุดหูฟังนี้ต้อง "ใช้งานง่าย" และ "มีประโยชน์เพียงพอ" เพื่อเอาชนะใจผู้บริโภค เพื่อแก้ไขปัญหาของชุดหูฟัง MR รุ่นก่อนๆ เช่น น้ำหนักที่มาก ความไม่สบาย และประสบการณ์การใช้งานคอนเทนต์ที่จำกัด vivo Vision ได้นำนวัตกรรมมากมายมาใช้ ด้วยการใช้อลูมิเนียมอัลลอยเกรดอากาศยานน้ำหนักเบาและหน้าจอไมโคร LED ทำให้น้ำหนักลดลงเหลือเพียง 398 กรัม เทียบเท่ากับหูฟัง จึงกลายเป็น "ชุดหูฟังน้ำหนักเบาที่สุดในโลก" ยิ่งไปกว่านั้น vivo ยังคำนึงถึงรูปลักษณ์ใบหน้าและหลักสรีรศาสตร์ของชาวจีนอย่างครบถ้วน ยกระดับประสบการณ์การสวมใส่ด้วยการสแกนใบหน้าอย่างมืออาชีพและการตรวจสอบแรงกดบนใบหน้าแบบเรียลไทม์ ในส่วนของการพัฒนาคอนเทนต์ vivo Vision ได้ผสานรวมกับระบบนิเวศ Android ได้อย่างราบรื่น และร่วมมือกับผู้พัฒนาคอนเทนต์บุคคลที่สาม เพื่อมอบคอนเทนต์แอปพลิเคชันที่หลากหลายให้กับผู้ใช้

แผนการของ Vivo ขยายขอบเขตไปไกลกว่าชุดหูฟัง MR ด้วยการมาถึงของสังคมผู้สูงอายุ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนในครอบครัวต้องการในอนาคต การเข้าสู่ตลาดชุดหูฟัง MR เป็นเพียงก้าวแรกของ Vivo สู่การประมวลผลเชิงพื้นที่ ความสามารถในการประมวลผลเชิงพื้นที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถขยายปฏิสัมพันธ์กับโลกได้อย่างแท้จริงจากสองมิติเป็นสามมิติ ซึ่งเป็นความสามารถพื้นฐานที่สำคัญสำหรับหุ่นยนต์ในการรับรู้โลกอย่างแม่นยำ Vivo มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศแบบปิดที่ประกอบด้วย "สมาร์ทโฟน + ชุดหูฟัง MR + หุ่นยนต์บ้าน" เพื่อให้บรรลุการเชื่อมต่อที่ราบรื่นและการทำงานร่วมกันอย่างลึกซึ้งระหว่างอุปกรณ์อัจฉริยะที่หลากหลาย

ในอนาคต ผู้คนจะสามารถจินตนาการถึงโลกที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยียิ่งขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทุกที่ทุกเวลา สวมชุดหูฟัง MR และท่องไปในโลกดิจิทัลและโลกกายภาพได้อย่างอิสระ ปล่อยให้หุ่นยนต์กลายเป็น "ตัวแทน" ในการทำงานบ้านต่างๆ Vivo ดำเนินกลยุทธ์ระยะยาว โดยลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรม โดยร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอย่างแข็งขันเพื่อส่งเสริมการยกระดับและนวัตกรรมทั่วทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม

ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ Vivo ให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง และนำความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาผสานรวมนวัตกรรมเข้ากับผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ยุคสมาร์ทโฟน ไปจนถึงการพัฒนาชุดหูฟัง MR และหุ่นยนต์ภายในบ้าน Vivo มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของผู้ใช้งานชาวจีนเกี่ยวกับอนาคตแห่งการใช้ชีวิตอัจฉริยะให้เป็นจริง เพื่อก้าวสู่ขั้นต่อไปของการพัฒนาและเปิดศักราชใหม่ให้กับชีวิตในอนาคตของเรา

LAMJAD VRPARK J20

฿259-฿289

ซื้อสินค้า