บทวิจารณ์ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์คลาสสิก | Columbia Pictures: มหากาพย์แห่งแสงและเงาใต้เทพีเสรีภาพ

เมื่อเงาของเทพีเสรีภาพถือคบเพลิงค่อยๆ สว่างขึ้นบนหน้าจอ และคำว่า "โคลัมเบีย พิคเจอร์ส" สีทองอร่ามค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงซิมโฟนี ผู้ชมทั่วโลกต่างรู้ดีว่างานเลี้ยงแห่งแสงและเงากำลังจะเริ่มต้นขึ้น บริษัทภาพยนตร์แห่งนี้ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคที่ฮอลลีวูดเฟื่องฟู ได้ใช้เวลากว่าร้อยปีจากโรงงานเล็กๆ ริมถนน สู่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ที่เปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางศิลปะ โลโก้ของบริษัทไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แทนความฝันและความคงอยู่ของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์อีกด้วย

จากเวิร์กช็อปริมถนนสู่ยุคทอง: ใช้เรื่องราวของคนธรรมดาเพื่อเปิดประตูสู่ความคลาสสิก

ในปี 1918 เมื่อแฮร์รี โคห์นและพี่ชายสองคนแขวนป้าย "CBC Film Sales Company" ไว้ในสำนักงานเช่าแห่งหนึ่งในลอสแอนเจลิส ไม่มีใครคาดคิดว่าบริษัทเล็กๆ แห่งนี้ที่อยู่รอดมาได้ด้วยการจัดจำหน่ายภาพยนตร์คาวบอยและภาพยนตร์ตลกราคาถูก จะกลายมาเป็นหนึ่งในแปดสตูดิโอภาพยนตร์ใหญ่ของฮอลลี วูด โคลัมเบียในยุคแรกๆ เปรียบเสมือน "ผู้ค้าส่งภาพยนตร์" มากกว่า โดยฉายภาพยนตร์ระดับบีในโรงภาพยนตร์มากมาย เช่น "Jungle Girl" ในราคา 500 ดอลลาร์ต่อเรื่อง จนกระทั่งในปี 1924 เปลี่ยนชื่อเป็น "Columbia Pictures" และออกแบบเทพีเสรีภาพเป็นโลโก้ของบริษัท ซึ่งการตัดสินใจนี้ซ่อนเร้นความทะเยอทะยานที่จะนำเสนอจิตวิญญาณอเมริกันดุจเทพธิดา และเพื่อให้ผู้ชมทั่วโลกจดจำลำแสงแห่งแสงและเงานี้

จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 เมื่อ MGM หมกมุ่นอยู่กับภาพยนตร์เพลงหรูหรา และ Warner Bros. มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวแก๊งสเตอร์ Columbia จึงได้เซ็นสัญญากับ ผู้กำกับชาวอิตาลีชื่อ Frank Capra เด็กชายผู้น่าสงสารผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนอนบนม้านั่งในสวนสาธารณะเข้าใจความสุขและความเศร้าของคนธรรมดาได้ดีที่สุด "It Happened One Night" ในปี 1934 กวาดรางวัลออสการ์ไป 5 รางวัลจากเรื่องราวความรักบนรถบัสที่พัง ไม่เพียงแต่ทำให้ Columbia ได้ก้าวขึ้นสู่อันดับสตูดิโอภาพยนตร์ชั้นนำเป็นครั้งแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกแนว "ตลกประสาท" ที่ผสมผสานความเป็นจริงทางสังคมเข้ากับอารมณ์ขัน ช่วยให้คนงาน นักข่าว และสาวรวยหัวเราะและร้องไห้ได้อย่างเท่าเทียมกันบนหน้าจอ "Mr. Smith Goes to Washington" ของ Capra ได้ใช้การต่อสู้ดิ้นรนของวุฒิสมาชิกผู้มีอุดมการณ์ เพื่อผสมผสานอุปมานิทัศน์ทางการเมืองเข้ากับพล็อตเรื่องที่ได้รับความนิยม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ก็สามารถสะท้อนแนวคิดของยุคสมัยได้เช่นกัน

โคลัมเบียในยุคนั้นเปรียบเสมือน "โรงงานผลิตดารา" แต่ก็แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ โคลัมเบียไม่ได้ผูกมัดกับสัญญาของ MGM แต่กลับอนุญาตให้นักแสดงเติบโตได้อย่างอิสระ

ริต้า เฮย์เวิร์ธ เปลี่ยนจากนักเต้นสาวสู่ “เทพีแห่งความรัก” ทันทีที่เธอยกถุงมือสีดำขึ้นใน “กิลดา” เธอก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการกบฏที่เซ็กซี่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

แม้ว่า Humphrey Bogart จะไม่ได้อยู่ภายใต้สัญญาผูกขาด แต่เขาก็แสดงได้อย่างซับซ้อนที่สุดในอาชีพการงานของเขาใน Silent War โดยถ่ายทอดความโลภและความเปราะบางของเหล่านักขุดทองให้มีชีวิตขึ้นมาบนจอภาพยนตร์

ภูมิปัญญาของโคลัมเบียอยู่ที่การไม่สร้างรูปเคารพที่สมบูรณ์แบบ แต่ทำให้ตัวละครมีความรู้สึกราวกับดอกไม้ไฟ เช่นเดียวกับเทพีเสรีภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของทั้งความยิ่งใหญ่และความโดดเด่นของตลาด

มหากาพย์และนวัตกรรม: การสร้างขอบเขตใหม่ของภาพยนตร์ด้วยเทคโนโลยี

ในช่วงทศวรรษ 1950 ฮอลลีวูดถูกโทรทัศน์โจมตีอย่างหนัก บริษัทใหญ่ๆ หันมาใช้ภาพยนตร์จอกว้างและภาพยนตร์สี แต่โคลัมเบียก้าวไปไกลกว่านั้น ไม่เพียงแต่เปิดรับเทคโนโลยี แต่ยังนำเทคโนโลยีมาใช้ในการนำเสนอเรื่องราวอีกด้วย ในปี 1962 "Lawrence of Arabia" ใช้จอกว้าง 70 มม. ถ่ายทำทะเลทรายราวกับทองคำที่ไหลริน ภาพลอว์เรนซ์ขี่อูฐผ่านหุบเขาของผู้กำกับ เดวิด ลีน กลาย เป็นตัวอย่างที่ดีของ "การใช้ภาพเพื่อบอกเล่าความเหงา" ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ 7 รางวัล พิสูจน์ให้เห็นว่าภาพยนตร์มหากาพย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาฉากสงคราม และอารมณ์ภายในของตัวละครก็งดงามอย่างแท้จริง

ในช่วงทศวรรษ 1980 โคลัมเบียได้เดินอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างธุรกิจและศิลปะ คานธี ภาพยนตร์ชีวประวัติของผู้นำทางการเมือง เป็นภาพยนตร์ความยาวสามชั่วโมงครึ่งที่เปลี่ยนผู้นำทางการเมืองให้กลายเป็นบุคคลที่มีเลือดเนื้อ ผู้กำกับริชาร์ด แอตเทนเบอโรห์ กล่าวว่า "โคลัมเบียกล้าลงทุนสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติที่ไม่มีฉากแอ็คชั่น ซึ่งถือเป็นปาฏิหาริย์ในฮอลลีวูดยุคนั้น" และ When Harry Met Sally ได้นิยามใหม่ของหนังตลกโรแมนติกด้วยการตั้งคำถามว่า "มิตรภาพที่บริสุทธิ์ระหว่างชายหญิงมีจริงหรือ?" หนังเรื่องนี้ไม่มีความเข้าใจผิดที่เกินจริง มีเพียงเสียงซุบซิบในร้านกาแฟและหิมะที่โปรยปรายลงบนถนนในนิวยอร์ก ปล่อยให้ความรักไหลลื่นอย่างเป็นธรรมชาติดุจดนตรีแจ๊ส

ในช่วงเวลานี้ โคลัมเบียยังกลายเป็น "ผู้ริเริ่มภาพยนตร์แนวใหม่" อีกด้วย

ภาพยนตร์ "Do the Right Thing" ของสไปก์ ลี ใช้ความขัดแย้งทางเชื้อชาติในบรูคลินเพื่อฉีกกระชากบาดแผลของสังคมอเมริกัน บริษัทต่อต้านแรงกดดันจากสาธารณชนและเผยแพร่ภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายและข้อถกเถียง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าสตูดิโอเชิงพาณิชย์ก็สามารถเป็นกระบอกเสียงของเสียงอิสระได้เช่นกัน

ซีรีส์ Men in Black ผสมผสานนิยายวิทยาศาสตร์เข้ากับอารมณ์ขันแบบดำมืด ความร่วมมือระหว่างทอมมี่ ลี โจนส์ และวิลล์ สมิธ ได้ทำลายกำแพงเชื้อชาติในภาพยนตร์แอ็คชั่น เบื้องหลังรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คือการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนถึงประเด็นเรื่อง "ความแตกต่าง"

ยุคโซนี่: การปกป้องแรงบันดาลใจดั้งเดิมของแสงและเงาในคลื่นโลกาภิวัตน์

ในปี 1989 โซนี่ได้เข้าซื้อกิจการโคลัมเบียพิคเจอร์สด้วยมูลค่า 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการควบรวมกิจการด้านบันเทิงครั้งใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ "การรุกรานทางวัฒนธรรม" แต่กลับกลายเป็นว่าโคลัมเบียมีเวทีที่กว้างขวางกว่าภายใต้โซนี่: ซีรีส์สไปเดอร์แมนได้ยกระดับภาพยนตร์ฮีโร่แนวตลกขึ้นสู่จุดสูงสุด และใช้ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ วัยรุ่นจากควีนส์ นิวยอร์ก เพื่อสานต่อความนิยมใน "ฮีโร่พลเรือน" ของบริษัท สกายฟอลล์นำบอนด์กลับสู่อุโมงค์รถไฟใต้ดินลอนดอน ซึ่งไม่เพียงแต่มีความยิ่งใหญ่อลังการเหมือนภาพยนตร์แอ็คชั่นระดับโลกเท่านั้น แต่ยังรักษาความอ่อนช้อยของสุภาพบุรุษชาวอังกฤษไว้อีก ด้วย

Sony BRAVIA K-55XR50

฿43,990-฿43,990

ซื้อสินค้า

นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่โคลอมเบียทำได้ดีที่สุด: การทำให้เรื่องราวในท้องถิ่นเข้าถึงคนทั่วโลก

โคลัมเบียไม่ได้พ่ายแพ้หลังจากการเข้าซื้อกิจการ พวกเขาสนับสนุน อัลฟองโซ คัวรอน ในการสำรวจความโดดเดี่ยวในอวกาศด้วย Gravity และนิยามภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ใหม่ด้วยภาพระยะไกลและเทคโนโลยี 3 มิติ

นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่ให้กับภาพยนตร์เยาวชนทุนต่ำอย่าง Lady Bird อีกด้วย ในบทพูดคนเดียวของเกรตา เกอร์วิก ผู้ชมสามารถมองเห็นเงาของภาพยนตร์ของคาปราได้ ความสมดุลระหว่างการค้าและศิลปะนี้ทำให้ภาพยนตร์ยังคงดำรงอยู่ได้ในยุคสื่อสตรีมมิ่ง

มรดกแห่งแสงและเงา: คบเพลิงเทพีเสรีภาพส่องประกายสู่อนาคต

ประวัติศาสตร์ 100 ปีของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส เปรียบเสมือนภาพจำลองประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ขนาดเล็ก พิสูจน์ให้เห็นว่าสตูดิโอชั้นนำไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการผูกขาดเพื่อความอยู่รอด แต่ควรเปรียบเสมือนเทพีเสรีภาพ ที่ถือขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ในมือซ้าย และนวัตกรรมอยู่ในมือขวา ตั้งแต่อุปมาอุปไมยทางสังคมของคาปรา ไปจนถึงเรื่องราวเชื้อชาติของสไปก์ ลี จากภาพยนตร์มหากาพย์จอกว้างเรื่อง "Lawrence of Arabia" ไปจนถึงเทคนิคพิเศษดิจิทัลของ "Spider-Man" ภาพยนตร์ เรื่องนี้ตอบคำถามที่ว่า ภาพยนตร์จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ชมและก้าวทันยุคสมัยได้อย่างไร

การมีส่วนร่วมของภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวภาพยนตร์เสียอีก นับเป็นครั้งแรกที่โคลัมเบียมอบรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมให้กับภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ (แม้ว่าราโชมอนจะเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่น แต่โคลัมเบียก็มีส่วนร่วมในการจัดจำหน่าย) เพื่อส่งเสริมภาพยนตร์ในฐานะภาษาสากล

รูปแบบ "การผลิตแบบแพ็คเกจ" ที่เป็นแนวคิดริเริ่มนี้ ช่วยให้ผู้กำกับ นักเขียนบท และนักแสดงสามารถสร้างชุมชนที่สร้างสรรค์ ซึ่งส่งอิทธิพลต่อระบบการผลิตสมัยใหม่

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพได้ก้าวข้ามสัญลักษณ์ทางการค้ามานานแล้ว และกลายมาเป็นประภาคารในใจของผู้สร้างภาพยนตร์ โดยเตือนพวกเขาว่าความ หมายสูงสุดของแสงและเงาคือการให้คนธรรมดาทุกคนได้เห็นอิสรภาพและความฝันของพวกเขาบนจอภาพ

ในปัจจุบันที่สื่อสตรีมมิ่งได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับชมไป Columbia ยังคงค้นหาต่อไป: ความไร้สาระและความอบอุ่นของ "The Blink of an Eye" และนวัตกรรมแอนิเมชันของ "Spider-Man: Into the Spider-Verse" ล้วนยังคงสืบทอดยีนของตนต่อไป เช่นเดียวกับคบเพลิงของเทพีเสรีภาพที่ไม่เคยดับสูญ

Sony Bravia Mini LED 4K TV

฿74,200-฿75,700

ซื้อสินค้า

“เรื่องราวของบริษัทแห่งนี้บอกเราว่าความ มีชีวิตชีวาของภาพยนตร์นั้นอยู่ที่การมุ่งเน้นไปที่ผู้คนเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นคู่รักบนรถบัสในยุค 1930 หรือฮีโร่ในมัลติเวิร์สในยุค 2020 ความสุข ความเศร้า ความโกรธ และความสุขของพวกเขาคือรหัสบ็อกซ์ออฟฟิศที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์