บทวิจารณ์ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ | Paramount Pictures: ผู้สร้างตำนานแสงและเงาอายุกว่าศตวรรษ

ท่ามกลางภูมิทัศน์อันพลุกพล่านของฮอลลีวูด พาราเมาท์ พิคเจอร์สเปรียบเสมือนภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่เคยล้ม โลโก้ของกลุ่มดาราที่โอบล้อมภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ สะท้อนถึงสถานะอันสูงส่งของพาราเมาท์ พิคเจอร์ส นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2455 พาราเมาท์ พิคเจอร์ส ได้เป็นประจักษ์พยานและมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อเส้นทางการพัฒนาของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก ด้วยการเดินทางอันรุ่งโรจน์ยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ

ความฝันของผู้บุกเบิกภาพยนตร์ได้โบยบิน

ในปีพ.ศ. 2455 เมื่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อดอล์ฟ ซูคอร์ นักธุรกิจที่เกิดในครอบครัวที่อพยพมาจากฮังการี มีความหลงใหลในภาพยนตร์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงได้ร่วมมือกับเจ้าพ่อวงการภาพยนตร์ แดเนียล โฟรห์แมน และชาร์ลส์ โฟรห์แมน ก่อตั้ง Famous Players Film Company ซึ่งเป็นบริษัทต้นแบบของ Paramount Pictures

อดอล์ฟ ซูคอร์

ในเวลานั้น ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นความบันเทิงสำหรับผู้อพยพชนชั้นล่าง แต่ซุคเกอร์มีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น เขาเชื่อมั่นว่าภาพยนตร์สามารถดึงดูดผู้ชมได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะชนชั้นกลาง

ในเวลาเดียวกัน เจแอล ลาสกี้ ยังได้ก่อตั้งบริษัท เจสซี ลาสกี้ ฟีเจอร์ ฟิล์ม คอมพานี ในปี 1913 ทั้งสองบริษัทได้ควบรวมกิจการกันสำเร็จในปี 1916 ก่อตั้งเป็นบริษัท เฟมัส ซิงเกอร์ ลาสกี้ คอมพานี โดยมี ซุคเกอร์ ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และ ลาสกี้ ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท นับแต่นั้นมา บริษัทใหม่ก็ได้เริ่มการควบรวมกิจการและขยายกิจการครั้งใหญ่ ในปี 1917 บริษัทได้ควบรวมกิจการบริษัทผลิตภาพยนตร์ 12 บริษัทเข้าด้วยกันในคราวเดียว และก่อตั้งบริษัท พาราเมาท์ พิคเจอร์ส ดิสทริบิวชัน คอมพานี ในปี 1927 บริษัทได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น พาราเมาท์-เฟมัส ซิงเกอร์-ลาสกี้ คอมพานี

ในปี 1930 พาราเมาท์ได้ควบรวมกิจการกับพับลิกซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์หลายแห่ง และเปลี่ยนชื่อเป็นพาราเมาท์พับลิกซ์ นับแต่นั้นมา พาราเมาท์ก็ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นบริษัทฮอลลีวูดขนาดใหญ่

พาราเมาท์ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์อันโดดเด่นมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซูคอร์เป็นคนแรกที่ตระหนักถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของดาราที่มีต่อภาพยนตร์ เขาได้เซ็นสัญญากับนักแสดงชั้นนำอย่างต่อเนื่องในขณะนั้น ดาราภาพยนตร์ยุคแรกๆ อย่างแมรี พิคฟอร์ด, ดักลาส แฟร์แบงค์ส, กลอเรีย สวอนสัน และรูดอล์ฟ วาเลนติโน ล้วนแต่เป็นดาวเด่นภายใต้พาราเมาท์ การเข้าร่วมของดาราเหล่านี้ทำให้ภาพยนตร์ของพาราเมาท์ประสบความสำเร็จในการดึงดูดผู้ชมชนชั้นกลาง ซึ่งช่วยยกระดับสถานะทางสังคมและมูลค่าทางการค้าของภาพยนตร์อย่างมาก

แมรี่ พิคฟอร์ด

รูดอล์ฟ วาเลนติโน

โลโก้ภูเขาดั้งเดิมของพาราเมาท์มีต้นกำเนิดมาจากภาพวาดเล่นๆ ของดับเบิลยู. ดับเบิลยู. ฮอดกินสัน ระหว่างการพบปะกับซุคเกอร์ ต้นแบบของภูเขานี้คือภูเขาเบนโลมอนด์ในรัฐยูทาห์ ซึ่งเป็นที่ที่ฮอดกินสันเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก (โลโก้จริงในภายหลังอาจเป็นยอดเขาอัตเซนแล็กในเปรู) โลโก้ดั้งเดิมมีดาว 24 ดวง ซึ่ง เป็นสัญลักษณ์ของดาว 24 ดวงที่พาราเมาท์เคยใช้ในขณะนั้น แม้ว่าจำนวนดาวจะลดลงเหลือ 22 ดวงในปัจจุบัน แต่โลโก้คลาสสิกนี้ยังคงเปี่ยมเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และกลายเป็นหนึ่งในโลโก้บริษัทที่เก่าแก่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

ประวัติการพัฒนา: ผ่านขึ้นและลง สร้างตำนาน

ยุคทอง: ครอบงำฮอลลีวูด

ในช่วงสามสิบปีแรกหลังการก่อตั้ง พาราเมาท์ได้ครองอำนาจเหนือฮอลลีวูดอย่างมั่นคง ด้วยทรัพยากรดารามากมาย ภาพยนตร์คุณภาพสูง และโรงภาพยนตร์เครือต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา ตลอดช่วงทศวรรษ 1930 พาราเมาท์เต็มไปด้วยดาราดังมากมาย

ดาราดังอย่าง Mae West, Marlene Dietrich, The Marx Brothers, Bing Crosby, Gary Cooper และ Claudette Colbert ล้วนอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท

ในช่วงเวลานี้ พาราเมาท์ได้ผลิตภาพยนตร์คลาสสิกหลายเรื่อง รวมถึง Wings ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก และภาพยนตร์ตลก เช่น Duck Soup, She Done Him Wrong และ I'm No Angel

เธอทำผิดต่อเขา

อย่างไรก็ตาม เมื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น Paramount ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักและเกือบล้มละลาย ธนาคารหลายแห่งเข้าเทคโอเวอร์บริษัท และ Adolph Zukor ผู้ก่อตั้งบริษัท ถูกบังคับให้ลาออก แต่ Zukor ไม่ยอมแพ้ ในปี 1935 เขากลับมาและปรับโครงสร้างองค์กร Paramount Pictures อีกครั้ง ด้วยผลงานภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่อง นำแสดงโดย Mae West, Bing Crosby, Bob Hope, Gary Cooper และ Claudette Colbert เขาช่วยให้บริษัทรอดพ้นจากการล้มละลายและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ตกต่ำลงสู่ความเสื่อมถอย: ดิ้นรนในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

แต่ช่วงเวลาดีๆ นั้นอยู่ได้ไม่นาน พาราเมาท์ตกเป็นเป้าหมายของหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดของรัฐบาลตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 เนื่องจากมีอำนาจมากเกินไป ในปี 1948 ศาลฎีกากลางได้ออกคำพิพากษาคดีพาราเมาท์ โดยห้ามบริษัทใหญ่ๆ ในฮอลลีวูดดำเนินธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และฉายภาพยนตร์อย่างเด็ดขาด พาราเมาท์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขายโรงภาพยนตร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงทศวรรษ 1950 ผู้ชมภาพยนตร์จำนวนมากย้ายออกไป ทำให้พาราเมาท์ต้องลดจำนวนภาพยนตร์ที่ผลิตลง เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1960 เนื่องจากอดอล์ฟ ซูคอร์ ผู้มีอำนาจในสมัยนั้นมีอายุมากแล้วและมีอายุมากกว่า 80 ปี เขาจึงไม่เข้าใจความต้องการของผู้ชมรุ่นใหม่ ทำให้พาราเมาท์ค่อยๆ ล้าหลังตามกระแส ในปี 1966 บริษัทถูกซื้อกิจการโดยกัลฟ์เวสเทิร์นอินดัสทรีส์ และ ยุคสมัยของซูคอร์ก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

การกลับมา: ผู้นำคนใหม่นำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ครั้งใหม่

แม้ว่าโรเบิร์ต อีแวนส์ ประธานบริษัทคนใหม่จะยังใหม่ในวงการภาพยนตร์ แต่เขาก็เก่งเรื่องธุรกิจและมีไหวพริบทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ภายใต้การนำของเขา พาราเมาท์ได้ผลิตภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์มากมาย เช่น Love Story, Chinatown และ The Godfather และบริษัทก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้

โรเบิร์ต อีแวนส์

ในปี 1976 แบร์รี ดิลเลอร์ ผู้คร่ำหวอดในวงการโทรทัศน์ ได้เข้าซื้อกิจการพาราเมาท์ ร่วมกับไมเคิล ไอส์เนอร์ และเจฟฟรีย์ แคทเซนเบิร์ก ผู้ช่วยของเขา พวกเขาได้ก่อตั้งกลุ่มสามคนขึ้น ซึ่งนำพาพาราเมาท์กลับสู่จุดสูงสุดของฮอลลีวูด ดิลเลอร์โดดเด่นในการสร้างภาพยนตร์ที่มีแนวคิดล้ำสมัย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลด้วยการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังและการตลาดที่เข้มข้น ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาประกอบด้วยภาพยนตร์เพลงเรื่อง "Saturday Night Fever" และ "Grease" ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง "Halloween" ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยเรื่อง "Raiders of the Lost Ark" และภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรมเรื่อง "Beverly Hills Cop" ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในบ็อกซ์ออฟฟิศเท่านั้น แต่ยังสร้างกระแสในยุคนั้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แบร์รี ดิลเลอร์ ออกจากพาราเมาท์ในปี 1984 เนื่องจากความแตกต่างในปรัชญาการพัฒนากับมาร์ติน เดวิส เจ้าของบริษัทแม่กัลฟ์เวสเทิร์น และเข้าร่วมกับทเวนตี้เซนจูรีฟ็อกซ์ของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก ไมเคิล ไอส์เนอร์ และเจฟฟรีย์ แคทเซนเบิร์ก ก็ถูกดิสนีย์ดึงตัวไปเช่นกัน พาราเมาท์ตกต่ำไประยะหนึ่ง

การฟื้นตัว: เจ้าของใหม่และโอกาสใหม่

ในปี 1993 Viacom ของซัมเนอร์ เรดสโตน ชนะการแข่งขันอันดุเดือดและกลายเป็นบริษัทแม่ของพาราเมาท์ Viacom เริ่มต้นจากการบริหารโรงภาพยนตร์หลายสาขา และต่อมาได้พัฒนาเป็นกลุ่มบริษัทบันเทิง การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของฮอลลีวูด โดยบริษัทภาพยนตร์รายใหญ่ค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทบันเทิงและสื่อ

ระหว่างปี 1994 ถึง 2004 ภายใต้การบริหารของเชอร์รี แลนซิง พาราเมาท์ได้ก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง ในช่วงเวลานี้ บริษัทได้ผลิตภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง อาทิ "Braveheart," "Forrest Gump," "Titanic" (ร่วมทุนกับ 20th Century Fox), "Mission: Impossible," "Face/Off," "The Truman Show" และ "Saving Private Ryan" ภาพยนตร์เหล่านี้ครอบคลุมหลากหลายแนว ตั้งแต่เรื่องราวประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ เรื่องราวความรักสุดซึ้ง ไปจนถึงภาพยนตร์แอคชั่นผจญภัยสุดระทึก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างภาพยนตร์ระดับสูงและสไตล์ที่หลากหลายของพาราเมาท์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Paramount ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น ผลกระทบจากกระแสสตรีมมิ่งทั่วโลก และการประท้วงของนักแสดงฮอลลีวูดที่ขัดขวางการผลิตภาพยนตร์และการประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2024 Bob Bakish ซีอีโอของ Paramount ได้ประกาศปลดพนักงานเพื่อรับมือกับปัญหาการดำเนินงาน แต่ถึงกระนั้น Paramount ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ด้วยประวัติอันยาวนานและทรัพยากรทรัพย์สินทางปัญญาอันล้ำค่า

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 คณะกรรมาธิการยุโรปได้อนุมัติการควบรวมกิจการระหว่าง Paramount และ Skydance และ Skydance และผู้สนับสนุนหลักอย่าง RedBird Capital Partners ได้เข้าซื้อกิจการ National Amusements Inc. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Paramount คาดว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะนำมาซึ่งโอกาสในการพัฒนาใหม่ๆ ให้กับ Paramount

ผลงานที่ยอดเยี่ยมมักถูกผลิตขึ้นบ่อยครั้ง: การสร้างพระราชวังแห่งความฝันของศิลปะภาพยนตร์

ตลอดประวัติศาสตร์ 100 ปีของบริษัท Paramount Pictures ได้นำเสนอผลงานชิ้นเอกคลาสสิกมากมายให้กับผู้ชมทั่วโลก ครอบคลุมธีมและประเภทภาพยนตร์ที่หลากหลาย และแทบทุกสาขาของภาพยนตร์

ในวงการภาพยนตร์ The Godfather ถือเป็นจุดสูงสุดของพาราเมาท์และแม้แต่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย มหากาพย์แก๊งสเตอร์เรื่องนี้กำกับโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ได้กลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ด้วยเรื่องราวครอบครัวที่ซับซ้อน ตัวละครที่โดดเด่น การสำรวจธีมที่ลึกซึ้ง และเทคนิคการเล่าเรื่องที่ละเอียดอ่อนและทรงพลัง การแสดงอันโดดเด่นของนักแสดงอย่างมาร์ลอน แบรนโด และอัล ปาชิโน ทำให้ตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ฝังรากลึกอยู่ในใจของผู้คน

มาร์ลอน แบรนโด เดอะ ก็อดฟาเธอร์

"Forrest Gump" ได้ครองใจผู้ชมนับไม่ถ้วนด้วยมุมมองการเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจ ทอม แฮงค์ส รับบทเป็นฟอเรสต์ กัมพ์ ชายผู้มีไอคิวต่ำแต่มีจิตใจบริสุทธิ์และเมตตา ผู้ซึ่งได้ประสบกับเหตุการณ์อันเป็นตำนานมากมายในประวัติศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ของฟอเรสต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของสหรัฐอเมริกาในช่วงหลายทศวรรษได้อย่างชาญฉลาด นำเสนอทั้งภาพประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ และความยืดหยุ่นและความเพียรพยายามของคนธรรมดาสามัญที่เผชิญกับกระแสกาลเวลา

ทอม แฮงค์ส, ฟอร์เรสต์ กัมพ์

ในโลกแห่งภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัย ซีรีส์ "Indiana Jones" กำกับโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก เขียนบทโดยจอร์จ ลูคัส และนำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัย ในภาพยนตร์ ดร.อินเดียนา โจนส์ ออกผจญภัยสุดระทึกรอบโลกเพื่อตามหาสมบัติที่สาบสูญ เนื้อเรื่องอันน่าตื่นเต้น ฉากแอ็กชันอันน่าตื่นตาตื่นใจ สถานที่ลึกลับและแปลกใหม่ และเสน่ห์อันโดดเด่นของตัวละครเอก ได้ดึงดูดผู้ชมทั่วโลก ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่เป็นการเปิดศักราชใหม่ของภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์ประเภทเดียวกันนี้อีกด้วย

พาราเมาท์ยังประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ ซีรีส์ Star Trek มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นและวัฒนธรรมกีคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมุมมองจักรวาลอันยิ่งใหญ่ บอกเล่าเรื่องราวการสำรวจจักรวาลของสตาร์ฟลีตและการสื่อสารกับอารยธรรมมนุษย์ต่างดาว ด้วยโครงเรื่องที่น่าสนใจ เทคโนโลยีเทคนิคพิเศษขั้นสูง และการสำรวจวิทยาศาสตร์และมนุษยชาติอย่างลึกซึ้ง ซีรีส์ Star Trek จึงกลายเป็นภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์คลาสสิกที่มีอิทธิพลต่อแฟนนิยายวิทยาศาสตร์และผู้สร้างภาพยนตร์หลายรุ่น

สตาร์เทรค

นอกจากนี้ พาราเมาท์ ยังได้มีส่วนร่วมในการผลิตภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทต่างๆ มากมาย เช่น ภาพยนตร์โรแมนติกเรื่อง “Roman Holiday” ที่เรื่องราวโรแมนติกและการแสดงอันยอดเยี่ยมของออเดรย์ เฮปเบิร์นและเกรกอรี เพ็ก ได้กลายมาเป็นตัวอย่างคลาสสิกของภาพยนตร์โรแมนติกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และภาพยนตร์สร้างแรงบันดาลใจเรื่อง “The Pursuit of Happyness” ที่ได้สัมผัสหัวใจของผู้ชมจำนวนมากด้วยเรื่องราวที่เป็นจริงและซาบซึ้งใจ รวมถึงการแสดงอันโดดเด่นของวิลล์ สมิธและลูกชายของเขา