เรื่องราวน้ำหอม 10｜Miller Harris: สานต่อเรื่องราวลอนดอนในน้ำหอม

ท่ามกลางความเร่งรีบและวุ่นวายของลอนดอน โลกที่ถักทอเรื่องราวด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ - มิลเลอร์ แฮร์ริส ในปี 2000 แบรนด์นี้ถือกำเนิดขึ้นในสหราชอาณาจักร ดุจดั่งดวงดาวที่ส่องประกาย เติมพลังชีวิตชีวาใหม่ให้กับวงการน้ำหอม

การเกิดของน้ำหอมนี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับนักปรุงน้ำหอมหญิงผู้บุกเบิกอย่าง Lyn Harris

การเดินทางของนักปรุงน้ำหอมหญิงเพื่อทำลายขีดจำกัด

ลิน แฮร์ริส เริ่มต้นอาชีพในฝรั่งเศส ซึ่งเธอได้รับการฝึกอบรมด้านน้ำหอมอย่างเป็นระบบและแบบดั้งเดิม ในเวลานั้น อุตสาหกรรมน้ำหอมถูกครอบงำโดยผู้ชาย แต่ด้วยความรักและพรสวรรค์ด้านน้ำหอม ลิน แฮร์ริส ได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย และกลายเป็นหนึ่งในนักปรุงน้ำหอมหญิงคนแรกๆ ที่ก้าวเข้าสู่วงการ

หลังจากกลับจากเรียน เธอได้กลับไปสหราชอาณาจักรพร้อมกับทักษะอันยอดเยี่ยมที่สั่งสมมาจากฝรั่งเศส และมุมมองอันลึกซึ้งในการสร้างสรรค์น้ำหอม เธอเบื่อหน่ายกับความซ้ำซากจำเจของตลาดน้ำหอมในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น "กลิ่นหอมหวานแบบผู้หญิง" หรือ "กลิ่นไม้แบบผู้ชาย" เย็นชา ในปี 2000 เธอได้เปิดสตูดิโอแห่งแรกที่นอตติงฮิลล์ ลอนดอน ภายใต้ชื่อ "มิลเลอร์ แฮร์ริส" โดยมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวอันละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นด้วยกลิ่นหอม ไม่ว่าจะเป็นความชื้นในวันฝนตกในลอนดอน น้ำค้างยามเช้าในร้านดอกไม้หัวมุมถนน และกลิ่นกระดาษในร้านหนังสือเก่า ทั้งหมดนี้ควรจะสื่อถึงกลิ่นอายเฉพาะตัว

จากสตูดิโอสู่นักเล่าเรื่องกลิ่นหอม

ในช่วงแรกเริ่ม แบรนด์นี้เป็นเหมือน "ห้องทดลองกลิ่น" มากกว่า ลิน แฮร์ริสทักทายแขกแต่ละคนเป็นการส่วนตัวและบันทึกชีวิตประจำวันของพวกเขาไว้ราวกับช่างตัดเสื้อที่ตัดเย็บเสื้อผ้า:

"มักจะไปเดินเล่นในไฮด์ปาร์คตอนเย็นๆ" "มีซิการ์และเก้าอี้หนังในห้องทำงานของปู่ของฉัน"

รายละเอียดเหล่านี้ถูกแปลงเป็นกลิ่นหอมพิเศษ เช่น "Nocturne" สำหรับนักร้องโอเปร่า โดยใช้ดอกซ่อนกลิ่นเพื่อเลียนแบบความอบอุ่นของแสงไฟบนเวที และพิมเสนเพื่อสะท้อนถึงความหนักหน่วงของม่านกำมะหยี่

“จิตวิญญาณแห่งการปรับแต่ง” นี้ค่อยๆ ดึงดูดกลุ่มแฟนๆ ที่เหนียวแน่น ในปี 2005 แบรนด์ได้เปิดตัวซีรีส์ “Les Fleurs” ที่ผลิตจำนวนมากเป็นครั้งแรก ซึ่งได้ปรับปรุงองค์ประกอบคลาสสิกของประสบการณ์การปรับแต่งให้กลายเป็นรุ่นยอดนิยม หนึ่งในนั้นคือ “Rose Silence” ที่ตัดความหวานของกลิ่นกุหลาบออกไป และเพิ่มความฝาดเล็กน้อยของใบแบล็คเคอร์แรนท์ เปรียบเสมือนดินและกลีบกุหลาบที่พันกันในสวนกุหลาบหลังฝนตก ในปี 2010 แบรนด์ได้ย้ายไปยังพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นในย่านโซโห ลอนดอน โดยยังคงโต๊ะน้ำหอมแบบเปิดโล่งไว้ในสตูดิโอ เพื่อให้ลูกค้ายังคงเห็นกระบวนการชั่งน้ำหนักส่วนผสมของน้ำหอม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องชั่งทองแดง หยดแก้ว และขวดน้ำหอมที่มีฉลากเขียนด้วยลายมือ เสมือนร้านขายยาเก่าแก่ที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่

ปัจจุบัน มิลเลอร์ แฮร์ริสได้สร้างจังหวะความคิดสร้างสรรค์ที่มั่นคง โดยเปิดตัวน้ำหอมใหม่ 2-3 กลิ่นทุกปี โดยแต่ละกลิ่นยังคง "เล่าเรื่องราว" ต่อไป ไม่ใช่แค่การสะสมกลิ่นโน้ตเท่านั้น แต่เป็นเรื่องราวของกลิ่นที่มีฉากและอารมณ์ต่างๆ

การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์: ให้บรรจุภัณฑ์กลายเป็นบทนำของเรื่องราว

ขวดของมิลเลอร์ แฮร์ริสไม่เคยโกหก ผลงานยุคแรกๆ ถูกบรรจุในขวดแก้วฝ้า พร้อมฉลากที่ลิน แฮร์ริสเขียนด้วยลายมือ ซึ่งดูเหมือนบันทึกการทดลองในสตูดิโอของเธอ ต่อมา ขวดแก้วเหล่านี้ถูกนำมารวมกันเป็นขวดแก้วทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลายเส้นที่ประณีตราวกับอาคารสไตล์จอร์เจียนในลอนดอน และเชือกป่านเส้นเล็กพันรอบคอขวด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวิธีการผูกช่อดอกไม้ในตลาด สื่อถึงกลิ่นอายของน้ำหอมแต่ละกลิ่นว่าเป็น "ของขวัญจากธรรมชาติ"

สิ่งที่พิเศษที่สุดคือดีไซน์กล่องด้านนอก กล่องของ "La Fumée" พิมพ์ด้วยภาพร่างเตาผิงถ่าน สะท้อนความรู้สึกรมควันในกลิ่นหอม ส่วน บรรจุภัณฑ์ของ "Figue Amère" ตกแต่งด้วยสีลาเวนเดอร์ ซึ่งดูคล้ายกับสีผิวของมะเดื่อดิบ ดีไซน์เหล่านี้ไม่ได้ใช้การปั๊มร้อนหรือเลื่อมที่เกินจริง แต่ใช้เพียงพื้นผิวของกระดาษและอุณหภูมิในการพิมพ์เพื่อถ่ายทอดข้อมูล เหมือนกับหนังสือปกอ่อนของวรรณกรรมอังกฤษ แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็คุ้มค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง

บทกวีอังกฤษที่เขียนด้วยวัสดุธรรมชาติ

แนวคิดหลักของแบรนด์ซ่อนอยู่ในดีเอ็นเอของ "ศิลปะน้ำหอมคลาสสิก + ความรู้สึกแบบอังกฤษ" ลิน แฮร์ริส เคยกล่าวไว้ว่า "น้ำหอมฝรั่งเศสเปรียบเสมือนการประพันธ์ซิมโฟนี ในขณะที่เราเปรียบเสมือนการเขียนบทกวีโซเน็ต แม้จะไม่ได้ยาวนัก แต่เราใส่ใจในน้ำหนักของแต่ละคำ" ความรู้สึกแบบอังกฤษนี้สะท้อนให้เห็นผ่านความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ: สำหรับกุหลาบชนิดเดียวกัน นักปรุงน้ำหอมชาวฝรั่งเศสอาจต้องการสัมผัสถึงความเบ่งบานเต็มที่ แต่มิลเลอร์ แฮร์ริส ได้เติมกลิ่นแตงกวาลงในน้ำหอม "Peony Blush" เพื่อคืนความสดชื่นของดอกโบตั๋นที่เพิ่งตัดจากลอนดอนในฤดูใบไม้ผลิ

การยึดมั่นในวัสดุธรรมชาตินั้นแทบจะเรียกได้ว่าหมกมุ่น น้ำมันหอมระเหยดอกส้มจะถูกเก็บเกี่ยวเฉพาะในช่วงเช้าตรู่ของโมร็อกโก เพราะกลิ่นในขณะนั้นจะมีกลิ่นน้ำค้างที่เปรี้ยวเล็กน้อย ส่วนไม้จันทน์มาจากป่าอินเดียที่ได้รับการจัดการอย่างยั่งยืน และทุกๆ หนึ่งกิโลกรัมที่ซื้อจะมีการปลูกต้นกล้าสามต้น วัตถุดิบสังเคราะห์ก็จะถูกนำไปใช้เมื่อจำเป็น แต่ต้องเป็นไปตามหลักการ "ทำให้กลิ่นหอมมีความจริงใจมากขึ้น" ยกตัวอย่างเช่น กลิ่นน้ำทะเลใน "Coastal Cypress" ถูกจำลองด้วย "Calone" สังเคราะห์ ซึ่งช่วยขับเน้นความเขียวขจีของต้นไซเปรสได้อย่างชัดเจนกว่าน้ำทะเลจริง

แบรนด์เชื่อมั่นว่าน้ำหอมควรสื่อถึง "ความงามและความหวัง" แม้แต่น้ำหอมกลิ่นหนักแน่นอย่าง "Leather" ก็ยังถูกเติมแต่งด้วยกลิ่นเบอร์กาม็อตที่สดใส เฉกเช่นแสงแดดที่ส่องลงมาอย่างฉับพลันในวันฝนตก นี่คือกลิ่นอายของลอนดอน และกลิ่นอายของมิลเลอร์ แฮร์ริส อย่างแท้จริง

ซีรีส์คลาสสิก: ฉากแห่งกลิ่นที่น่าดื่มด่ำ

ซีรีส์ "เรื่องเล่าในเมือง"

กลิ่นอายเมืองที่สะท้อนถึงแบรนด์ได้อย่างชัดเจนที่สุด "Chelsea Flowers" คือกลิ่นหอมยามเช้าในร้านดอกไม้ กลิ่นหอมหวานของดอกกุหลาบและดอกมะลิ ผสมผสานกับกลิ่นดินของบัวรดน้ำ "Bank Underground" ฟื้นคืนความชุ่มชื้นของอุโมงค์รถไฟใต้ดิน ด้วยการใช้อัลดีไฮด์โลหะผสมกับดอกคาร์เนชั่น ซึ่งให้กลิ่นอายย้อนยุคที่แปลกตาอย่างน่าประหลาดใจ

ซีรีส์ "Les Orientalistes"

การตีความกลิ่นอายตะวันออกแบบอังกฤษ "Oudh Accord" ไม่ได้มีกลิ่นอายตะวันออกอันเข้มข้น แต่ใช้ไม้กฤษณาผสมกับลาเวนเดอร์ เปรียบเสมือนนักปราชญ์ชาวตะวันออกที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตผ้าทวีด แฝงไว้ด้วยบุคลิกสุภาพบุรุษที่ทั้งแปลกตาและสุขุม

น้ำหอมเหล่านี้อาจไม่ทำให้คนตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น แต่ก็เหมือนกับสภาพอากาศในลอนดอน ซึ่งอาจดูหดหู่เมื่อสัมผัสครั้งแรก แต่เมื่อได้รู้จักไปนานๆ คุณจะเข้าใจถึงความอ่อนโยนของวันแดดจ้ากับวันฟ้าครึ้ม

มันไม่ได้ต้องการเป็นจุดสนใจ แต่เพียงต้องการเป็น "ที่ปรึกษาเรื่องกลิ่น" ที่เข้าใจคุณ

เมื่อคุณยกมือขึ้นเพื่อดมกลิ่นหอม ฉันกระซิบว่า “ฉันเข้าใจช่วงเวลานี้แล้ว”

​

Miller Harris Afternoon Earl Grey Tea Water Supplement Leaf Garden Perfume

฿73-฿902

ซื้อสินค้า

Miller Harris Perfume

฿177-฿483

ซื้อสินค้า