Yolk ปลุกกระแสขนมไทยให้กลับมาแมสอีกครั้ง! ในชื่อ Proudly, Made in Thailand

เมื่อขนมไทยไม่ได้อยู่แค่ใน “งานบุญ” อีกต่อไป 🍃

ลองหลับตานึกถึงขนมไทยที่เราเคยกินตอนเด็ก ๆ… บัวลอยร้อน ๆ หอมกะทิ ทองหยิบสีทองสวยงาม ฝอยทองหวานนุ่ม หรือขนมตาลที่ฟูนุ่มจนละลายในปาก 🍮

ภาพเหล่านี้อาจทำให้หลายคนยิ้มออก แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ขนมไทย” มักถูกมองว่าเป็นของโบราณ กินในงานบุญ งานประเพณี หรือเป็นของฝากต่างจังหวัดมากกว่าที่จะเห็นวางขายในคาเฟ่หรู ๆ หรือร้านเบเกอรี่ทันสมัย

แต่วันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป…

เพราะแบรนด์ Yolk ได้เดินเกมอย่างชาญฉลาด ด้วยการ Collab กับ 4 แบรนด์ไทย ภายใต้คอนเซป Proudly, Made in Thailand ที่ไม่เพียงแค่ขายขนม แต่ยังขาย “ความภูมิใจในความเป็นไทย” ผ่านรสชาติ การออกแบบ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ทันสมัย

นี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้ “ขนมไทย” กลับมาอยู่ในสปอตไลท์อีกครั้ง! 🌟

Yolk คือใคร ทำไมถึงกลายเป็นผู้เล่นตัวจริงในวงการ F&B 🌼

Yolk เริ่มต้นจากแบรนด์ขนมที่ต้องการผสมผสานรสชาติความเป็นไทยเข้ากับความทันสมัย จุดขายไม่ใช่แค่รสชาติอร่อย แต่ยังรวมไปถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้คนกิน เช่น การออกแบบแพ็กเกจจิ้งที่มินิมอล ทันสมัย และเล่าเรื่องได้ รวมถึงการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงที่สะท้อนความพิถีพิถัน

สิ่งที่ทำให้ Yolk แตกต่างคือ:

• ไม่กลัวที่จะทดลอง: เอาขนมไทยมาผสมกับขนมตะวันตก เช่น ครัวซองต์บัวลอย หรือมาการองรสฝอยทอง 🥐✨

• เล่าเรื่องผ่านแบรนด์: ทุกสินค้าไม่ได้ขายแค่ขนม แต่ขายคอนเซปที่จับต้องได้

• โฟกัสที่ความภูมิใจในวัฒนธรรม: ใช้ความเป็นไทยเป็นจุดขายที่ไม่ใช่แค่ท้องถิ่น แต่สากล

Proudly, Made in Thailand 🇹🇭✨

คอนเซปนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดง่าย ๆ แต่ทรงพลัง:
👉 “ทำไมเราต้องมองว่าขนมไทยเชย ทั้งที่จริงแล้วมันคือเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้?”

Yolk จึงเลือกที่จะ หยิบความเป็นไทยขึ้นมารีแบรนด์ และเล่าเรื่องใหม่ ให้ขนมไทยกลายเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจ คล้ายกับการที่ญี่ปุ่นยกระดับโมจิหรือวากาชิให้กลายเป็นขนมที่โลกยอมรับ 🌏

4 แบรนด์ไทยที่มาร่วม Collab กับ Yolk 🥳

การ Collab ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการ F&B แต่สิ่งที่ Yolk ทำคือ การจับคู่กับแบรนด์ไทยที่มีจุดแข็งเฉพาะตัว และนำมาสร้างมิติใหม่ของขนมไทย

1. แบรนด์ขนมไทยดั้งเดิม 🍮

Yolk จับมือกับร้านขนมไทยชื่อดังที่อยู่คู่คนไทยมาหลายสิบปี นำสูตรดั้งเดิมมาปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เช่น “ทองหยอดช็อต” เสิร์ฟในแก้วช็อตเล็ก ๆ หรือ “บัวลอยมิลค์เชค” ที่ดื่มง่ายแต่ยังคงรสชาติแท้ ๆ

2. แบรนด์แฟชั่นไทย 👗

การเอาขนมไป Collab กับแฟชั่นอาจฟังดูแปลก แต่ Yolk ทำได้! มีการออกแบบแพ็กเกจที่ได้แรงบันดาลใจจากลายผ้าไทย และยังมีสินค้า Limited Edition ที่เชื่อมโยงแฟชั่นกับขนม เป็นการสร้างมูลค่าแบรนด์ให้มากกว่าการกิน

3. แบรนด์เครื่องดื่ม Specialty ☕

ร่วมกับคาเฟ่ไทยที่โดดเด่นเรื่องกาแฟและชา นำขนมไทยไปจับคู่กับเครื่องดื่ม เช่น “เอสเปรสโซ่ฝอยทอง” หรือ “ชามะลิลาเต้กับขนมหม้อแกง” ที่ทั้งเข้ากันและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้า

4. แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ไทย 🎁

Yolk ยังไม่หยุดแค่ของกิน แต่ขยายไปสู่สินค้าที่ระลึกและของขวัญ เช่น ชุดกิฟต์เซ็ตที่รวมขนมไทยกับสินค้าไทยอื่น ๆ ในธีม Proudly, Made in Thailand

กลยุทธ์การตลาดที่ทำให้กระแสปัง 🔥

1. เล่นกับความ Nostalgia – ขนมไทยเชื่อมโยงกับความทรงจำ ทำให้ผู้คนอินง่าย

2. สร้างความหรูหราใหม่ – บรรจุภัณฑ์และการจัดวางสไตล์มินิมอล สวยจนถ่ายรูปลง IG ได้ 📸

3. จับกลุ่ม Gen Z และ Millennials – ผ่านการเล่าเรื่องใน TikTok, IG Reels และ Content Creator

4. ใช้ Limited Edition – ทำให้สินค้าเป็น “ของต้องมี” และเพิ่มความอยากได้

5. ดันคอนเซป Local to Global – ไม่ได้ขายแค่ให้คนไทย แต่ยังวางเป้าหมายส่งออกไปต่างประเทศ

   

อนาคตของขนมไทยหลังจากนี้ 🍡

การเคลื่อนไหวของ Yolk ไม่ใช่แค่แคมเปญชั่วคราว แต่เป็นการเปิดประตูใหม่ให้กับวงการขนมไทย ทั้งในแง่ของธุรกิจและวัฒนธรรม คาดว่าอนาคตเราจะได้เห็น:

• ขนมไทยในคาเฟ่หรู

• ขนมไทยรูปแบบ Grab & Go

• การส่งออกขนมไทยในตลาดโลก

• ขนมไทยผสมเทคโนโลยี เช่น Plant-based ขนมไทยเพื่อสุขภาพ

  

Proudly, Made in Thailand = มากกว่าขนม แต่คือ “ความภูมิใจ” ✨

Yolk ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการ Collab ไม่ใช่แค่การจับแบรนด์มารวมกัน แต่คือการสร้างเรื่องราวใหม่ ๆ ที่ผู้คนอยากมีส่วนร่วม ขนมไทยจึงไม่ใช่ของเก่า แต่คือ “อนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาส”

ใครจะไปคิดว่า “บัวลอย ฝอยทอง หรือทองหยอด” จะกลับมาเป็นเทรนด์อีกครั้ง และยังดูเท่ ดูทันสมัยได้ขนาดนี้ 🌸

เพราะ Proudly, Made in Thailand ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่คือความเชื่อว่า “สิ่งไทย ๆ” มีคุณค่าในระดับโลก