4 เซรั่มยอดนิยมจาก La Roche‑Posay

เพราะผิวเราไม่เหมือนกัน
ผิวหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน — บางคนมีผิวมัน – ผิวผสม, บางคนมีปัญหาเรื่องจุดด่างดำ หรือบางคนกังวลเรื่องริ้วรอยและความหย่อนคล้อย และยิ่งเมื่ออายุเริ่มเพิ่มขึ้น หรือเจอสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น แสงแดด ฝุ่น แรงดันอากาศ ผิวยิ่งต้องการการดูแลที่ตอบโจทย์เฉพาะด้าน
แทนที่จะซื้อเซรั่มแบบเดียวมาใช้ทุกวัน ซึ่งอาจไม่ตรงจุด เรามาดูตัวเลือกจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านผิวบอบบาง อย่าง La Roche-Posay ซึ่งพัฒนาเซรั่มหลายตัวที่มีจุดเด่นต่างกัน ให้เลือกใช้ตาม “ปัญหาผิว” ที่คุณมีจริง ๆ
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ 4 ตัวเลือกยอดฮิต – Vitamin C สำหรับผิวมัน / จุดด่างดำ / ริ้วรอย / ผิวแห้ง–ขาดน้ำ – จากนั้นเปรียบเทียบให้เห็นชัดว่า “ตัวไหนเหมาะกับคุณ” พร้อมคำแนะนำการใช้งานจริง เพื่อให้คุณใช้ได้อย่างคุ้มค่าและเห็นผล
แนะนำแต่ละตัว: ทำความรู้จักทีละตัว
1. La Roche-Posay Pure Vitamin C12 Oil Control Serum
เริ่มด้วย ตัวแรกที่เหมาะกับผิวมันหรือผิวผสม ซึ่งมีปัญหาเรื่องความมันส่วนเกิน รูขุมขนกว้าง และต้องการความกระจ่างใส พร้อมลดริ้วรอย
คำอธิบาย: เซรั่มสูตรที่พัฒนามาสำหรับผิวมัน/ผิวผสม มี “12% Pure Vitamin C” พร้อมเทคโนโลยี “Vitamin C Guard” เพื่อความคงตัวของวิตามิน C และประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ
คุณสมบัติเด่น:
ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว (+31% radiance) และลดเลือนริ้วรอย (82% รายงานว่าริ้วรอยดูจางลง) จากการทดสอบผู้ใช้ 80 คน ใช้วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 56 วัน
มี Salicylic Acid ช่วยโละสิ่งอุดตันในรูขุมขน ควบคุมความมัน ทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น
เนื้อเซรั่มซึมไว เหมาะกับผิวมัน ไม่ทิ้งความเหนอะหนะ
เหมาะกับ:
ผู้มีผิวมันหรือผิวผสม ที่มีแนวโน้มรูขุมขนกว้างและเกิดสิว/ความมันง่าย
ผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือผิวยังไม่กระจ่างใส
คนที่อยากได้สูตรควบคุมความมันได้และลดริ้วรอยในขั้นเริ่ม
2. La Roche-Posay Mela B3 Serum
ตัวที่ 2 เน้นเรื่องจุดด่างดำ และความไม่สม่ำเสมอของโทนสีผิว
คำอธิบาย: เซรั่มลดจุดด่างดำรุ่นใหม่จากแบรนด์ La Roche-Posay ใช้โมเลกุลพิเศษ “Melasyl™” ควบคู่กับ 10% Niacinamide (วิตามิน B3) เพื่อจัดการจุดด่างดำจากแสงแดด อายุ สิว หรือรอยสิว
คุณสมบัติเด่น:
เห็นผลในเรื่องจุดด่างดำทั้งแบบแสงแดด Age Spot และรอยสิว (Post Inflammatory Hyperpigmentation)
เหมาะกับทุกโทนสีผิว และมีผลยาวนาน
เหมาะกับ:
·ผู้ที่มีจุดด่างดำชัดเจน เช่น รอยแดด รอยสิว รอยวัย
·ผู้ที่ต้องการผิวโทนสม่ำเสมอและลดความหมองคล้ำ
·ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงทั่วไปแล้วรู้สึกว่ายังไม่จบปัญหาเรื่องจุดด่างดำ
3. La Roche-Posay Retinol B3 Serum
ตัวที่ 3 มาสำหรับเรื่องของริ้วรอย การหมุนเวียนของเซลล์ผิว และการคืนความเรียบเนียน
คำอธิบาย: เซรั่มลดริ้วรอยสูตร Oil-Free ประกอบด้วย Retinol (วิตามิน A อนุพันธ์) และวิตามิน B3 (Niacinamide) เพื่อช่วยผลัดผิว ลดเลือนริ้วรอย และจัดการความเสียหายจากแสงแดด
คุณสมบัติเด่น:
·ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นขึ้น เรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอยและเส้นบาง
·เหมาะกับผิวที่ไวต่อการใช้ Retinol ด้วยสารรองรับ B3 เพื่อความทนทานของผิว
เหมาะกับ:
·ผู้เริ่มมีริ้วรอย เช่น เส้นเล็กบริเวณรอบดวงตา ร่องแก้ม หรือริ้วรอยบนหน้าผาก
·ผู้ที่ต้องการยกระดับการดูแลผิวให้เรียบเนียนขึ้น
·ผู้ที่ใช้วิตามิน C แล้วอยากต่อด้วยผลิตภัณฑ์รีเซ็ตผิวช่วงกลางคืน
4. La Roche-Posay HYALU B5 Serum
ตัวที่ 4 เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว หรือผิวที่เริ่มสูญเสียความแน่น ตัวเลือกนี้เหมาะมาก
คำอธิบาย: เซรั่มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) คู่กับวิตามิน B5 และ Madecassoside เพื่อเติมน้ำให้ผิว ฟื้นบำรุงเกราะป้องกันผิว และช่วยให้ผิวดูเต็มขึ้น
คุณสมบัติเด่น:
·ใช้กรดไฮยาลูรอนิค 2 ชนิด + วิตามิน B5 ช่วยดึงและกักเก็บน้ำในผิว ทำให้ผิวดูอิ่ม เด้ง และชุ่มชื้น
·เหมาะกับผิวบอบบางและผิวแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบแพ้ (“Allergy Tested”)
เหมาะกับ:
·ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือรู้สึกว่าผิวเริ่มหย่อนตัว
·ผู้ที่อยากเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวโดยไม่เพิ่มความมัน
·ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์อื่นแล้วรู้สึกว่าผิวยังไม่อิ่มน้ำ
เปรียบเทียบจุดเด่นและจุดที่แตกต่าง
เมื่อรู้จักทั้ง 4 ตัวแล้ว มาดูว่าแต่ละตัวแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ
เซรั่ม | จุดเด่นหลัก | เหมาะกับ | สิ่งที่ควรพิจารณา |
|---|---|---|---|
Pure Vitamin C12 Oil Control | ดึงความกระจ่างใส ควบคุมความมัน ลดริ้วรอยสำหรับผิวมัน/ผสม | ผิวมัน/ผิวผสม มีรูขุมขนกว้าง ต้องการความสดใส | วิตามิน C อาจระคายเคืองในผิวแพ้ง่ายมากๆ ควรเริ่มใช้ทีละน้อย |
Mela B3 Serum | ลดจุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วย Melasyl™ + Niacinamide | จุดด่างดำ ชัดเจน ผิวคล้ำ/ไม่สม่ำเสมอ | ผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลาและใช้ควบคู่กันหลายเดือน |
Retinol B3 Serum | ลดริ้วรอย ผลัดเซลล์ เรียบเนียนขึ้น | มีริ้วรอยเริ่มเล็กๆ–กลาง ผิวต้องการรีเซ็ต | Retinol ควรใช้ก่อนนอน และควรใช้ SPF ตอนเช้า อาจมีระยะเริ่มต้นผิวลอก |
HYALU B5 Serum | เติมน้ำ ฟื้นบำรุงผิว อิ่ม เด้ง สำหรับทุกสภาพผิว | ผิวแห้ง/ขาดน้ำ หรือผิวที่เริ่มหย่อนตัว | หากมีผิวมันมาก อาจรู้สึกว่าชุ่มเกินไปเล็กน้อย – แต่ถือว่าใช้ได้ทุกสภาพผิว |
วิธีเลือกใช้ให้เหมาะกับผิวของคุณ
การเลือกให้ถูกต้องไม่ใช่เพียงเลือก “แบรนด์ดี” แต่คือเลือกให้ตรงกับปัญหาผิวของคุณจริง ๆ
-
ดูสภาพผิวตอนนี้ – ผิวมัน/ผิวผสม/ผิวแห้ง/ผิวแพ้ง่าย
·หากคุณมีผิวมันหรือผิวผสม และมีรูขุมขนกว้าง ควรเริ่มที่ Vitamin C12 Oil Control
·หากคุณมีจุดด่างดำหรือรอยสิว/เริ่มมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลอง Mela B3
·หากคุณเริ่มมีริ้วรอย ร่องแก้มหรือเส้นรอบดวงตา Retinol B3 คือทางเลือก
·หากผิวคุณรู้สึกขาดน้ำ แห้ง หรือเริ่มหย่อนตัว HYALU B5 คือเติมเต็มได้ดี
-
ดูเวลาและความทนทานของผิว
·ผลลัพธ์จาก Retinol และ Mela B3 อาจใช้เวลา 8 สัปดาห์ขึ้นไป จึงต้องมีความอดทน
·สูตร HYALU B5 และ Vitamin C12 อาจเห็นผลเร็วในด้านชุ่มชื้นและความกระจ่างใส
-
เริ่มจากทีละตัว
·เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง ควรเริ่มจากหนึ่งตัว แล้วรอดูผล 2–4 สัปดาห์
·หากผิวทนได้ดีแล้ว อาจใช้สองตัวผสมในเช้า/เย็นตามคำแนะนำ
-
ควรคู่กับการปกป้องผิวจากแสงแดด
·โดยเฉพาะเมื่อใช้สูตรที่มี Vitamin C หรือ Retinol ซึ่งทำให้ผิวไวต่อแสง
·ตื่นเช้ามาควรใช้ Sunscreen เสมอ
-
ดูว่าผิวคุณใช้งานแบบไหน
·หากทริปกลางคืนหรือสภาพแวดล้อมแห้ง HYALU B5 เป็นตัวช่วยดี
·หากวันไหนพบความมันเยอะ อาจใช้ Vitamin C12 ในตอนเช้า
·หากมีจุดด่างดำชัดเจน Mela B3 ทาเฉพาะจุดก่อนครีม
ข้อควรระวังและคำแนะนำสุดท้าย
-
ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ควร ทดสอบที่ท้องแขนด้านใน สัก 24 ชั่วโมง เพื่อดูอาการแพ้
-
หลีกเลี่ยงการใช้สูตร Retinol หรือ Vitamin C พร้อมกันในวันเดียวเดียว หากผิวคุณยังไม่คุ้นเคย
-
ให้ความสำคัญกับ ครีมกันแดด ควบคู่ทุกเช้า เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำงานดีขึ้นเมื่อผิวได้รับการปกป้องจากแสง
-
ผลลัพธ์ที่ดีต้องใช้เวลา และความสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้ง 4 ตัวพร้อมกัน แต่เลือกใช้ให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ
-
หากคุณมีผิวแพ้ง่าย หรือใช้ยาในช่องทางผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้
🧴 ตารางการใช้เซรั่ม La Roche-Posay แบบรายวัน
ช่วงเวลา | วันจันทร์ | วันอังคาร | วันพุธ | วันพฤหัส | วันศุกร์ | เสาร์–อาทิตย์ |
|---|---|---|---|---|---|---|
เช้า | Vitamin C12 Oil Control | Mela B3 | Vitamin C12 Oil Control | Mela B3 | Vitamin C12 Oil Control | HYALU B5 |
เย็น | HYALU B5 | Retinol B3 | HYALU B5 | Retinol B3 | HYALU B5 | Mela B3 (เฉพาะจุด) |
แนวคิดตารางนี้:
-
ใช้ Vitamin C12 ช่วงเช้า 3 วัน/สัปดาห์ เพื่อเติมความกระจ่างใสและปกป้องผิวจากมลภาวะ
-
สลับกับ Mela B3 ช่วงเช้า 2 วัน/สัปดาห์ สำหรับวันที่อยากลดจุดด่างดำ
-
HYALU B5 เป็นเซรั่มเติมน้ำ ใช้ได้ทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเย็นหลังล้างหน้า
-
Retinol B3 ใช้ 2 วันต่อสัปดาห์ช่วงกลางคืน เพื่อผลัดเซลล์ผิวและลดริ้วรอย
-
เสาร์–อาทิตย์ ให้ผิวได้ “พัก” หรือใช้ HYALU B5 อย่างเดียวเพื่อฟื้นฟู
💡 ชุดเซรั่มที่ใช้คู่กันได้ (ไม่กัดกัน)
เป้าหมาย | สูตรคู่แนะนำ | วิธีใช้ |
|---|---|---|
ผิวมัน + รูขุมขนกว้าง + หมองคล้ำ | Vitamin C12 Oil Control + HYALU B5 | เช้า: Vitamin C12 ก่อน → HYALU B5 ตาม → กันแดด SPF50+ |
ผิวแห้ง + เริ่มมีริ้วรอย | Retinol B3 + HYALU B5 | กลางคืน: Retinol B3 ก่อน → HYALU B5 ตาม → มอยส์เจอไรเซอร์ |
จุดด่างดำ + สีผิวไม่สม่ำเสมอ | Mela B3 + HYALU B5 | เช้า: Mela B3 ก่อน → HYALU B5 ตาม → กันแดด |
ต้องการผิวกระจ่างใส + ต่อต้านริ้วรอยระยะต้น | Vitamin C12 (เช้า) + Retinol B3 (เย็น) | ใช้สลับเวลา – อย่าใช้พร้อมกันในวันเดียว |
ผิวอ่อนแอจากแดดหรือสิวเก่า | HYALU B5 เดี่ยว | ใช้เช้า–เย็น ทุกวัน จนกว่าผิวแข็งแรงขึ้น |
🧠 เคล็ดลับการจัดลำดับการทา (Layering Order)
การเรียงลำดับที่ถูกต้องช่วยให้สารออกฤทธิ์ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
ตอนเช้า
-
ล้างหน้าให้สะอาด → เช็ดให้แห้ง
-
ทา Vitamin C12 หรือ Mela B3 (เลือก 1 ตัว)
-
ตามด้วย HYALU B5 เพื่อเติมน้ำและล็อกความชุ่มชื้น
-
ปิดท้ายด้วย ครีมกันแดด SPF 50+
ตอนเย็น
-
ล้างหน้า → โทนเนอร์ (ถ้ามี)
-
ทา Retinol B3 (เฉพาะวันที่กำหนด) หรือ Mela B3 ถ้าเน้นจุดด่างดำ
-
ตามด้วย HYALU B5 ทั่วหน้า
-
ปิดท้ายด้วย มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อเบา
🌙 ตาราง “ผลัด–พัก–ฟื้น” สำหรับผิวแพ้ง่าย
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มใช้ Retinol หรือ Vitamin C ควรให้ผิวมีเวลาปรับตัว
ระยะเวลา | การใช้ที่แนะนำ | จุดประสงค์ |
|---|---|---|
สัปดาห์ 1–2 | ใช้ Retinol B3 แค่ 1 คืน / สัปดาห์ + HYALU B5 ทุกคืน | ให้ผิวเริ่มคุ้นกับ Retinol |
สัปดาห์ 3–4 | เพิ่ม Retinol เป็น 2 คืน / สัปดาห์ (ไม่ติดกัน) | กระตุ้นการผลัดเซลล์อย่างอ่อนโยน |
หลัง สัปดาห์ 5 ขึ้นไป | ใช้ Retinol 3 คืน / สัปดาห์ สลับกับ HYALU B5 คืนพักผิว | ผลลัพธ์ชัดขึ้นโดยไม่ทำให้ผิวแห้ง |
🔆 สรุปแนะแนวการใช้
ปัญหาผิวหลัก | ใช้เช้า | ใช้เย็น | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|
ผิวมัน / หมอง / รูขุมขนกว้าง | Vitamin C12 | HYALU B5 | ควบคุมความมันและเพิ่มความสดใส |
จุดด่างดำ / สีผิวไม่สม่ำเสมอ | Mela B3 | Mela B3 (เฉพาะจุด) + HYALU B5 | อย่าลืมกันแดดตอนเช้า |
ริ้วรอย / ผิวหย่อนคล้อย | HYALU B5 | Retinol B3 + HYALU B5 | ควรใช้ Retinol กลางคืนเท่านั้น |
ผิวแห้ง ขาดน้ำ | HYALU B5 | HYALU B5 | ใช้ได้ทุกวัน ไม่มีผลข้างเคียง |
ผิวไวต่อแสงแดด / พักฟื้น | HYALU B5 | HYALU B5 | หลีกเลี่ยง Vitamin C หรือ Retinol ชั่วคราว |
หากคุณต้องการให้ผมช่วย จัด “สูตรเฉพาะบุคคล” ตามสภาพผิวจริง (เช่น ผิวมันช่วง T-Zone แต่แห้งที่แก้ม หรือมีทั้ง
ข้อควรระวังและคำแนะนำสุดท้าย
-
ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ควร ทดสอบที่ท้องแขนด้านใน สัก 24 ชั่วโมง เพื่อดูอาการแพ้
-
หลีกเลี่ยงการใช้สูตร Retinol หรือ Vitamin C พร้อมกันในวันเดียวเดียว หากผิวคุณยังไม่คุ้นเคย
-
ให้ความสำคัญกับ ครีมกันแดด ควบคู่ทุกเช้า เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำงานดีขึ้นเมื่อผิวได้รับการปกป้องจากแสง
-
ผลลัพธ์ที่ดีต้องใช้เวลา และความสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้ง 4 ตัวพร้อมกัน แต่เลือกใช้ให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ
-
หากคุณมีผิวแพ้ง่าย หรือใช้ยาในช่องทางผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้
สรุป
ทั้ง 4 เซรั่มจาก La Roche-Posay นี้ ต่างมีจุดเด่นที่ชัดเจน และเหมาะกับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน
-
หากคุณมีผิวมัน/ผิวผสม และต้องการความกระจ่างใสพร้อมควบคุมความมัน ให้เลือก Vitamin C12 Oil Control
-
หากคุณมีจุดด่างดำ ผิวไม่สม่ำเสมอ ให้เลือก Mela B3 Serum
-
หากคุณเริ่มมีริ้วรอย หรืออยากรีเซ็ตผิว ให้เลือก Retinol B3 Serum
-
หากผิวคุณขาดน้ำ แห้ง หรือเริ่มหย่อน ให้เลือก HYALU B5 Serum
การเลือกใช้เซรั่มที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิวของคุณจริง ๆ จะช่วยให้คุณเห็นผลได้มากกว่าใช้แบบสุ่มไปเรื่อย ๆ และยังช่วยลดโอกาสการระคายเคือง





