กายพักร้อน แต่ใจยังไม่ว่างงาน เมื่อการพักกลายเป็นภาระที่เราปฏิเสธไม่ได้

ลาพักร้อน…แต่ยังต้องทำงาน ผิดที่เราหรือผิดที่ระบบ ?
ช่วงเดือนที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ลาพักร้อนไปต่างประเทศ หลังจากทำงานหนักมาต่อเนื่องหลายเดือน
ในระหว่างขากลับ ขณะที่กำลังนั่งเครื่องบินอยู่บนฟ้า เสียงพูดคุยและความวุ่นวายของผู้โดยสารรอบข้างทำให้บรรยากาศค่อนข้างจอแจ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตา — คู่รักชาวไทยที่นั่งข้างเรา ดูเหมือนกำลังเงียบผิดปกติ
แล้วเสียงสนทนาเบา ๆ ของพวกเขาก็ดังขึ้น
“เธอเป็นอะไร” ฝ่ายหญิงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ฝ่ายชายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบพร้อมน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่
“เราเครียด... เราลามาเที่ยวแต่ก็ยังต้องทำงานตลอด เราไม่ได้พักเลย เดี๋ยวกลับไปก็ต้องทำงานอีกแล้ว…”
ภาพชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่รีบดึงคอเสื้อขึ้นซับน้ำตา เป็นภาพที่เราไม่มีวันลืม
มันสะกิดความทรงจำของเราเอง — ครั้งหนึ่งที่เคยลาพักร้อนแต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ตอบอีเมล ตอบแชทงาน จนลืมไปว่าคำว่า “พัก” หมายถึงอะไร
ประโยคนั้นยังคงวนอยู่ในหัว “ทำไมลาพักร้อน…แต่ยังต้องทำงาน?”
และคำถามต่อมาก็ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ — “ผิดที่เรา หรือผิดที่ระบบ?”
วัฒนธรรมการทำงานที่กดดันจนกลืนคำว่า ‘พัก’
ในหลายองค์กร “การพัก” กลับถูกมองว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบ ทั้งที่ตามหลักแล้ว มันคือสิทธิ์พื้นฐานของแรงงาน
เราอยู่ในสังคมที่ยกย่อง “คนทุ่มเท” จนบางครั้งกลายเป็น “คนหมดแรง” โดยไม่รู้ตัว
💼 ระดับองค์กร
หลายบริษัทฝังวัฒนธรรมของ “การอุทิศตัว” ไว้อย่างลึกซึ้ง
ไม่ตอบแชทในวันลา = ไม่ทุ่มเท
ไม่เช็กอีเมล = ไม่มีวินัย
เมื่อระบบไม่มีการส่งต่องาน ไม่มีแผนสำรอง หรือไม่มีคนทำแทนได้
“ความรับผิดชอบ” ก็กลายเป็นโซ่ที่ผูกเราไว้กับงาน แม้ในวันที่ควรได้พัก
🤝 ระดับทีม
แม้ไม่มีใครสั่งตรง ๆ แต่ภาพของเพื่อนร่วมงานที่ “ลาแต่ยังตอบ”
กลายเป็นบรรทัดฐานที่บีบเราอย่างเงียบ ๆ
ใครจะอยากเป็นคนเดียวที่ “หายไป” จากไลน์กลุ่มงาน?
ความเกรงใจจึงกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้การพักร้อน “ไม่เคยพักจริง”
🧠 ระดับตัวเราเอง
ลึก ๆ แล้วเราหลายคนรู้สึกผิดที่จะวางมือ
กลัวว่างานจะพัง กลัวว่าคนอื่นจะลำบาก
จนสุดท้ายเราฝืนทำงานในวันลา ทั้งที่ร่างกายและจิตใจต้องการพัก
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรา “ยอมเหนื่อยต่อ” ทั้งที่ไม่มีใครบังคับโดยตรง
เมื่อการพักไม่ได้พัก…สิ่งที่เสียไม่ใช่แค่เวลา
การไม่ได้พักจริง ๆ ไม่ใช่เพียงทำให้รู้สึกเหนื่อยหรือ “นอยด์”
แต่มันส่งผลลึกถึงสภาวะ หมดไฟ (Burnout Syndrome)
สุขภาพจิตพังลงโดยไม่รู้ตัว สมองขาดแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์หายไป
และเมื่อทุกคนในทีมต่างสะสมความล้าโดยไม่พักจริง องค์กรก็จะพัฒนาได้ช้าลง
ไม่มีใครทำงานได้ดีในสภาพที่ไฟในใจดับลงแล้ว 🔥
แล้วเราจะทวงคืน “สิทธิ์ในการพัก” ได้อย่างไร ?
เริ่มจากตัวเราเล็ก ๆ ก่อน เพราะแม้ระบบจะไม่เปลี่ยนในวันเดียว
แต่ “การกำหนดขอบเขต” เป็นสิ่งที่เราทำได้ทันที
สร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว
แจ้งทีมล่วงหน้าก่อนลา เตรียมส่งต่องานให้ครบ และตั้ง auto-reply ชัดเจนว่า “ขณะนี้อยู่ในช่วงวันลา”
ที่สำคัญคือต้อง กล้าที่จะปฏิเสธ การทำงานในเวลาส่วนตัว — อย่างสุภาพแต่มั่นคง
ถ้างานจำเป็นต้องรันต่อ
จัดทำแผนส่งมอบงานให้คนที่เกี่ยวข้องรู้หน้าที่ล่วงหน้า
เมื่อระบบรับส่งต่อชัดเจน ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องหิ้วงานไปเที่ยวอีกต่อไป
ในระดับทีม ควรสร้างวัฒนธรรมที่ “เคารพเวลาส่วนตัว”
อย่าคุยเรื่องงานกับคนที่กำลังลา
และหัวหน้าคือคนสำคัญที่สุดในการเป็นแบบอย่าง
ถ้าผู้นำลาแล้วหายจริง — ทีมก็จะกล้าทำแบบนั้น
ส่วนในระดับองค์กร
ต้องเริ่มต้นจาก “การออกแบบระบบที่พักได้จริง”
เช่น การมีคนสำรองงานชัดเจน, ระบบจัดเก็บไฟล์กลาง, SOP ที่เข้าถึงง่าย
และปรับวิธีประเมินผลงานจาก “ชั่วโมงที่ออนไลน์” เป็น “คุณภาพของผลลัพธ์”
เมื่อองค์กรทำเช่นนี้ได้ “วันลา” จะไม่ใช่ภาระต่อทีมอีกต่อไป แต่กลายเป็นกลไกสำคัญของความยั่งยืน
วันลาคือ “สิทธิ์” ไม่ใช่ของขวัญ
หลายคนอาจลืมไปว่า “วันลาพักร้อน” เป็นสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่ใช่รางวัลที่องค์กรหยิบยื่นให้
เจตนารมณ์ของกฎหมายแรงงานชัดเจน — วันลาคือการให้เวลาพนักงานได้ พักผ่อนจริง ๆ เพื่อฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ
มันไม่ควรถูกใช้เป็นเพียงเวลาที่พนักงานต้องเปิดโน้ตบุ๊กนั่งทำงานริมทะเล หรือเช็กอีเมลจากต่างประเทศ
เพราะถ้า “พัก” แล้วไม่รู้สึกว่าได้พัก
ถ้า “ลา” แล้วต้องแบกงานกลับไป
นั่นไม่ใช่การพัก แต่มันคือการเลื่อนความเหนื่อยออกไปวันหนึ่งเท่านั้น
การพักคือการลงทุนในตัวเอง
ในโลกการทำงานยุคนี้ เรามักเชื่อว่าการทำงานหนักคือสัญลักษณ์ของความขยัน
แต่แท้จริงแล้ว “การรู้จักหยุด” คือทักษะสำคัญของคนที่ทำงานเก่ง
เพราะเมื่อคุณได้พักจริง ๆ
คุณจะกลับมาพร้อมพลังใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่
และมุมมองที่ต่างออกไป — มุมมองที่มักไม่เกิดขึ้นในตอนที่หัวเราหมุนอยู่กับงานทุกวัน
อย่ารอให้ถึงจุดที่ร่างกายป่วย หรือหัวใจเหนื่อยจนหมดไฟ
ก่อนจะอนุญาตให้ตัวเองได้พัก
หากคุณพยายามทำทุกอย่างแล้ว ทั้งเคลียร์งาน ส่งต่องาน สื่อสารล่วงหน้า
แต่ระบบยังคาดหวังให้คุณตอบแชทในวันลา
หรือยังมีคนบอกว่า “ก็แค่ช่วยดูนิดนึง”
อย่าโทษตัวเองเลย
เพราะการที่เราต้องทำงานในวันลานั้น
ไม่ใช่เพราะเราขาดความรับผิดชอบ
แต่เป็นเพราะ ระบบการทำงานที่ยังไม่ยอมรับว่า “การพักคือส่วนหนึ่งของประสิทธิภาพ”
และถ้าองค์กรของคุณไม่เข้าใจสิ่งนี้
นั่นไม่ใช่ “ที่ของคุณ”
ลองให้วันลาครั้งหน้าเป็น “วันพักจริง ๆ”
เก็บคอมพิวเตอร์ ปิดแจ้งเตือน ปล่อยใจให้ได้เดินช้า ๆ สักหน่อย
เพราะโลกไม่พัง งานไม่หาย
แต่คุณ…จะกลับมาด้วยพลังที่สดใหม่กว่าเดิม 🌱✨
แนะนำสำหรับคุณ
Apple News: Apple เปิดตัว iPad Air พร้อมชิป M3 อันทรงพลังและ Magic Keyboard ใหม่
หนังสยองขวัญน่าดูปี 2025 | คลายร้อนรับซัมเมอร์นี้ 😄
Digital Trends กำลังมาแรง | การแข่งขัน Valorant Champions Tournament ปี 2025 กำลังดำเนินอยู่! เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านอีสปอร์ตใช้อุปกรณ์ 4K อะไรบ้าง? มาดูกัน!
หัวข้อพิเศษเดือนกันยายน|ก้าวสู่อนาคต: การประชุมของ Apple ในเครื่องนี้จะมีคุณสมบัติเด่นอะไรเป็นหลักงการรับรู้อัจฉริยะของเรา?
รถยนต์ไฟฟ้า 4 รุ่นที่ขายดีที่สุดในปี 2025 และผู้ชนะยังคงเป็น Tesla
ลองใช้ Ray-Ban Meta 3 วัน: นี่คือเหตุผลที่แว่นตา AI อาจกลายเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต
ผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น 2 | มาร์ติน สกอร์เซซี: วิญญาณอันธพาล ความศรัทธายังคงมีอยู่
🔥🔥🔥🔥🔥Apple iPhone 17 ซีรีส์ : เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ปลายปีนี้❗️
รีวิวจุดเด่น ราคาเปิดจองของ Samsung Galaxy Z Fold 7
👋อุปกรณ์เสริมสำหรับ iPhone ที่สำคัญที่สุด…ไม่ใช่ที่ชาร์จ แต่เป็น AirPods จริงหรือ?
เปิดตัว Apple Watch Ultra 3 ตัวใหม่ ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
