โรคกลัวการใช้เงินคืออะไร? ทำไมหลาย ๆ คนถึงเป็นกัน

💸 เมื่อความระแวงเรื่องเงินกลายเป็นความกลัวที่กินใจ
เคยมีไหม เวลายืนอยู่หน้าร้านกาแฟแล้วลังเลอยู่นานว่าจะสั่งดีไหม ทั้งที่เงินในบัญชีก็ยังมีพอใช้
หรืออยากซื้อของชิ้นเล็ก ๆ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ปิดเว็บแล้วบอกตัวเองว่า “ไม่จำเป็นหรอก”
ทั้งที่ใจลึก ๆ ก็รู้ว่ามันคงทำให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
แน่นอนว่าการรู้จักเก็บออมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าความรู้สึกกลัวการใช้เงินเริ่มรบกวนชีวิต
จนทุกการจ่ายกลายเป็นเรื่องที่ต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
อาจไม่ใช่เพียง “นิสัยประหยัด” แล้ว แต่คืออาการของสิ่งที่เรียกว่า
“โรคกลัวการใช้เงิน” (Chrometophobia หรือ Chrematophobia)
บทความนี้จะพาไปรู้จักว่า โรคนี้คืออะไร ทำไมถึงเกิดขึ้นได้ในคนทั่วไป
และถ้าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นแบบนี้ จะดูแลใจอย่างไรให้ใช้เงินได้อย่างสบายมากขึ้น
🧠 โรคกลัวการใช้เงินคืออะไร
“โรคกลัวการใช้เงิน” หรือ Chrometophobia
เป็นภาวะทางจิตใจที่ผู้มีอาการจะรู้สึก กลัว วิตกกังวล หรือไม่สบายใจอย่างรุนแรงเมื่อต้องใช้เงิน
แม้จะมีเงินมากพอ แต่ก็รู้สึกว่าการใช้เงินคือเรื่องน่ากลัว หรือรู้สึกผิดแม้จะเป็นการใช้เพื่อสิ่งจำเป็น
บางคนถึงขั้นมีอาการทางกาย เช่น เหงื่อออก มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว
เมื่อจำเป็นต้องจ่ายเงิน หรือเห็นยอดเงินในบัญชีลดลง
กล่าวอย่างง่ายคือ มันไม่ใช่ “ความรอบคอบทางการเงิน”
แต่เป็น “ความกลัว” ที่ควบคุมไม่ได้และรบกวนการใช้ชีวิต
💭 ต่างกันอย่างไรระหว่าง “รักการออม” กับ “โรคกลัวการใช้เงิน”
ลักษณะ | รักการออม (พฤติกรรมปกติ) | โรคกลัวการใช้เงิน |
|---|---|---|
ความรู้สึกตอนใช้เงิน | รู้สึกมั่นใจ ใช้อย่างมีแผน | รู้สึกกลัว เครียด หรือรู้สึกผิด |
เป้าหมาย | เพื่อสร้างอนาคต | เพื่อหลีกเลี่ยงความกลัว |
การควบคุม | ควบคุมได้ตามเหตุผล | ควบคุมไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเกินไป |
ผลกระทบ | ชีวิตสมดุล | ชีวิตขาดความสุขและโอกาส |
จุดต่างจึงอยู่ที่ “อารมณ์” ไม่ใช่ “จำนวนเงิน”
คนที่ออมเพื่อเป้าหมายจะรู้สึกภูมิใจ แต่คนที่กลัวใช้เงินจะรู้สึกกังวลแม้ใช้เพียงเล็กน้อย
🔍 ทำไมหลายคนถึงกลัวการใช้เงิน
โรคนี้ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมของประสบการณ์ ความเชื่อ และสิ่งแวดล้อมที่สะสมในใจ
1. ประสบการณ์ในอดีต
หลายคนเคยผ่านช่วงเวลาทางการเงินที่ยากลำบาก เช่น เคยขาดรายได้ หรือต้องประหยัดเพื่อเอาตัวรอด
เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น สมองยังจำความรู้สึก “กลัวขาด” เอาไว้
จึงกลายเป็นกลไกป้องกันไม่ให้ใช้เงินอีก
2. การเลี้ยงดูและทัศนคติเรื่องเงิน
บางครอบครัวสอนว่า “เงินหายาก อย่าใช้ฟุ่มเฟือย” ซึ่งเป็นคำสอนที่ดี
แต่เมื่อได้ยินบ่อยเกินไปโดยไม่มีการอธิบายให้เข้าใจ
ความคิดเรื่อง “ใช้เงิน = เสี่ยง” อาจฝังลึกจนกลายเป็นความกลัว
3. ความเครียดจากสภาพเศรษฐกิจ
ในยุคที่ทุกอย่างแพงขึ้น แต่รายได้ไม่ขยับตาม ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจทำให้หลายคนไม่กล้าใช้จ่าย
เพราะกลัวว่า “ถ้าใช้ตอนนี้ แล้ววันหน้าจะไม่มีพอ”
4. โรควิตกกังวลทั่วไป (Anxiety Disorder)
บางกรณี โรคกลัวการใช้เงินเกิดจากโรควิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า
ที่ทำให้สมองประเมินความเสี่ยงเกินจริง ทุกการใช้เงินจึงถูกมองว่าเป็นอันตราย
5. ความไม่มั่นใจในศักยภาพตัวเอง
คนบางกลุ่มกลัวใช้เงินเพราะไม่มั่นใจว่าจะหาเพิ่มได้อีก
จึงเลือกเก็บทุกบาทไว้เพื่อความรู้สึกปลอดภัย แม้จะแลกกับการไม่ได้ใช้ชีวิตเต็มที่ก็ตาม
💸 อาการที่อาจบ่งบอกว่ากำลัง “กลัวการใช้เงิน”
-
รู้สึกเครียดหรือไม่สบายใจเมื่อต้องจ่ายเงิน
-
ลังเลซ้ำ ๆ แม้จะเป็นการซื้อของจำเป็น
-
รู้สึกผิดทุกครั้งหลังใช้เงิน
-
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้เงิน เช่น ไปเที่ยวหรือกินข้าวนอกบ้าน
-
ตรวจยอดบัญชีบ่อยจนเกินไป
-
ไม่กล้าซื้อของให้ตัวเองแม้มีความสามารถจ่ายได้
เมื่อพฤติกรรมเหล่านี้เริ่มรบกวนการใช้ชีวิต ควรใส่ใจและเริ่มหาทางคลายความกลัวนี้ลง
🧩 ผลกระทบที่ตามมาหากปล่อยไว้นาน
แม้จะดูไม่ร้ายแรงเท่าการใช้เงินเกินตัว แต่การกลัวใช้เงินก็สร้างผลเสียได้ในระยะยาว
1. สุขภาพจิตเสื่อมลง
ความวิตกกังวลเรื้อรังทำให้เครียดง่าย สมาธิสั้น และอารมณ์แปรปรวน
2. ชีวิตขาดความสุข
เงินอาจอยู่ครบ แต่ความรู้สึกพอใจในชีวิตลดลง
เพราะไม่กล้าใช้เพื่อสิ่งที่เติมเต็มหัวใจ
3. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
การหลีกเลี่ยงการใช้เงินร่วมกับผู้อื่น เช่น การออกไปกินข้าว หรือท่องเที่ยว
อาจทำให้เกิดช่องว่างทางความสัมพันธ์
4. สุขภาพร่างกาย
บางคนไม่กล้าใช้เงินรักษาโรค หรือซื้ออาหารที่มีประโยชน์
จนสุขภาพทรุดลงในระยะยาว
💡 วิธีค่อย ๆ ปลดล็อกความกลัวการใช้เงิน
การจัดการภาวะนี้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองทันที
เริ่มได้จากการ “ปรับความคิดและฝึกใช้เงินอย่างมีสติ”
1. สังเกตความรู้สึกของตัวเอง
ทุกครั้งที่รู้สึกกลัวการใช้เงิน ลองถามว่า “กลัวอะไรอยู่?”
กลัวไม่มีวันหาได้อีก? กลัวใช้แล้วเสียดาย? หรือกลัวคนอื่นมองว่าไม่รู้จักเก็บ?
การรู้ที่มาของความกลัวคือจุดเริ่มต้นของการจัดการ
2. วางงบประมาณแบบ “ใช้ได้โดยไม่รู้สึกผิด”
ตั้งงบส่วนหนึ่งไว้สำหรับใช้จ่ายเพื่อความสุข เช่น เดือนละ 10–20% ของรายได้
และบอกตัวเองว่า “เงินก้อนนี้ใช้ได้ ไม่ต้องรู้สึกผิด”
จะช่วยให้สมองเรียนรู้ว่า การใช้เงินอย่างมีแผนไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
3. ใช้เงินเพื่อ “คุณค่า” ไม่ใช่แค่ “ราคา”
เมื่อสมองโฟกัสที่จำนวนเงินที่เสียไป จะรู้สึกกังวล
แต่ถ้ามองว่าเงินนั้นแลกกับสุขภาพดี ความรู้ใหม่ หรือประสบการณ์ชีวิต
จะรู้สึกคุ้มค่าแทนที่จะรู้สึกเสีย
4. ค่อย ๆ ใช้ในสิ่งเล็ก ๆ ก่อน
เริ่มจากการใช้เงินกับสิ่งที่ไม่มาก เช่น ซื้อกาแฟดี ๆ สักแก้ว หรือหนังสือที่อยากอ่าน
ฝึกให้ใจรับรู้ว่า “การใช้เงินทำให้ชีวิตดีขึ้นได้”
5. พูดคุยกับคนที่เข้าใจ
บางครั้งความกลัวจะเบาลง เมื่อได้พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ใกล้เคียง
หรือหากอาการรุนแรงจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจะช่วยให้เข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น
🧭 มุมมองใหม่เกี่ยวกับ “การใช้เงิน”
เงินไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ “สร้างคุณภาพชีวิต”
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ควรเก็บจนใจไม่กล้าหายใจ
เงินไม่ได้มีไว้เพื่ออยู่นิ่ง ๆ ในบัญชี
แต่มีไว้เพื่อหมุนเวียน สร้างโอกาส และเติมเต็มชีวิตในสิ่งที่มีคุณค่า
บางครั้งค่าใช้จ่ายเล็กน้อยก็สามารถกลายเป็นแรงบันดาลใจใหญ่ได้
เช่น หนังสือที่ซื้อด้วยความลังเลวันนั้น อาจเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตไปตลอดกาล
🌱 สรุปส่งท้าย : อย่าให้ “ความกลัวการใช้เงิน” มาควบคุมชีวิต
โรคกลัวการใช้เงินไม่ใช่ความผิดของใคร
แต่มันคือผลจากประสบการณ์ ความเครียด และความไม่มั่นคงในใจที่สะสมมานาน
สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันและค่อย ๆ คืนอิสระให้กับตัวเอง
ใช้เงินอย่างมีเหตุผล ไม่เกินกำลัง แต่ไม่กดข่มความต้องการจนชีวิตขาดสีสัน
เพราะสุดท้ายแล้ว
เงินที่มีค่าที่สุด คือเงินที่ถูกใช้ไปกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย
คืนนี้ลองถามตัวเองเบา ๆ ว่า
“ถ้าไม่มีความกลัวเลย อยากใช้เงินกับอะไรที่จะทำให้ชีวิตรู้สึกดีขึ้น?”
บางทีคำตอบนั้นอาจไม่ต้องแพงเลยก็ได้ แค่เพียงพอให้ใจรู้สึกว่า “ได้ใช้ชีวิตจริง ๆ” 💛
แนะนำสำหรับคุณ
พัดลมพกพายี่ห้อไหนเหมาะกับเรา มาดูวิธีการเลือกพัดลมพกพากันว่าต้องเลือกยังไงบ้าง
คนเก็บตัวเข้ามหาวิทยาลัย: ทำยังไงถึงจะมีเพื่อน?
เทรนด์ BEAUTY เกาหลีประจำซัมเมอร์ 2025 🔥
ชุดไทยประยุกต์ แต่งยังไงให้ดูดีทุกวัน ทำงานก็ได้ ทำบุญก็เริ่ด
การเลือกซื้อเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า: เพื่อการโกนหนวดที่สะดวก ง่าย และดีกว่าที่เคย
Bluetooth Earphone|ปลดปล่อยตัวเองจากข้อจำกัด: พร้อมฟังเสียงที่ไร้ขอบเขตในทุกการเดินทาง
