การบำรุงรักษารถยนต์ประจำวัน คุณสามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้


หลายคนคิดว่าการบำรุงรักษารถยนต์นั้นซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง จำเป็นต้องเข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถยนต์ 4S เพื่อหาช่างผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม มีงานบำรุงรักษารถยนต์ประจำวันมากมายที่สามารถทำที่บ้านได้ง่ายๆ ช่วยประหยัดเงินและช่วยให้คุณเข้าใจรถยนต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการดูแลรักษารถยนต์ที่บ้านที่เจ้าของรถยนต์ทั่วไปสามารถทำได้ เพื่อให้รถยนต์อยู่ในสภาพดีเยี่ยมและยืดอายุการใช้งาน
ขั้นตอนที่ 1: ตรวจสอบและเติมน้ำมันเครื่อง
ทำไมมันถึงสำคัญ?
น้ำมันเครื่องเปรียบเสมือน "เลือด" ของรถยนต์ ทำหน้าที่หลายอย่างภายในเครื่องยนต์ รวมถึงการหล่อลื่น การทำความสะอาด การระบายความร้อน การซีล และการป้องกันสนิม น้ำมันเครื่องที่ไม่เพียงพอหรือคุณภาพต่ำลงอาจนำไปสู่การสึกหรอของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่มากขึ้น และอาจถึงขั้นทำให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติได้
จะตรวจสอบอย่างไร?
1. การเตรียมการ: จอดรถบนพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ และรอ 5-10 นาทีเพื่อให้น้ำมันกลับเข้าสู่อ่างน้ำมัน
2. ดึงก้านวัดระดับน้ำมันออก: เปิดฝากระโปรงรถ ค้นหาก้านวัดระดับน้ำมันที่มีด้ามจับสี (ปกติจะเป็นสีเหลืองหรือสีแดง) แล้วดึงออก
3. เช็ด: ใช้กระดาษเช็ดมือหรือผ้าสะอาดเช็ดก้านวัดน้ำมันและเช็ดน้ำมันเก่าออกจากก้านวัด
4. ใส่กลับเข้าไปและถอดออก: ใส่ก้านวัดระดับน้ำมันกลับเข้าไปจนสุดแล้วจึงถอดออก
5. สังเกต: สังเกตสเกลบนก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง โดยปกติจะมีสเกลอยู่สองระดับ คือ "MIN" (ต่ำสุด) และ "MAX" (สูงสุด) ระดับน้ำมันเครื่องปกติควรอยู่ระหว่างสเกลทั้งสอง หากต่ำกว่า "MIN" แสดงว่าถึงเวลาเติมน้ำมันเครื่องแล้ว

เสริมยังไง?
1. การซื้อ: ซื้อน้ำมันเครื่องที่ตรงกับรุ่นรถและประเภทเครื่องยนต์ของคุณ คุณสามารถดูคู่มือรถหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้
2. เติม: ค้นหาพอร์ตเติมน้ำมันบนเครื่องยนต์ (โดยปกติจะมีตราสัญลักษณ์เป็นกระป๋องน้ำมันหรือ "น้ำมันเครื่อง") เปิดฝาออก และค่อยๆ เทน้ำมันลงไปโดยใช้กรวย
3. ตรวจสอบซ้ำ: เติมน้ำมันเครื่องและตรวจสอบจนกระทั่งระดับน้ำมันเครื่องกลับสู่ระดับปกติ จำไว้ว่าอย่าเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไปในคราวเดียว เพราะน้ำมันเครื่องมากเกินไปอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบและเติมน้ำหล่อเย็น
ทำไมมันถึงสำคัญ?
น้ำยาหล่อเย็น หรือที่รู้จักกันในชื่อสารป้องกันการแข็งตัว มีหน้าที่ระบายความร้อนเครื่องยนต์และป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ร้อนจัดเกินไป นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้ระบบระบายความร้อนแข็งตัวในสภาพอากาศหนาวเย็นและก่อให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์
จะตรวจสอบอย่างไร?
1. การเตรียมการ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องยนต์เย็น มิฉะนั้นอาจมีความเสี่ยงต่อการไหม้ได้
2. ค้นหาขวดน้ำหล่อเย็น: ขวดน้ำหล่อเย็นโดยทั่วไปจะเป็นขวดพลาสติกโปร่งแสงที่มีเส้นมาตราส่วน "MIN" และ "MAX" อยู่
3. ข้อสังเกต: ตรวจสอบว่าระดับน้ำหล่อเย็นอยู่ระหว่าง "MIN" และ "MAX" หากต่ำกว่า "MIN" แสดงว่าต้องเติมน้ำหล่อเย็น
เสริมยังไง?
1. การซื้อ: เลือกซื้อน้ำยาหล่อเย็นที่ตรงกับรุ่นรถและประเภทเครื่องยนต์ของคุณ
2. เติม: คลายเกลียวฝาขวดน้ำหล่อเย็นออก แล้วค่อยๆ เติมน้ำหล่อเย็นลงไปจนระดับของเหลวกลับสู่ระดับปกติ
เคล็ดลับ: น้ำยาหล่อเย็นมักจะมีสีน้ำเงิน เขียว แดง หรือชมพู เมื่อเติมน้ำยา ควรใช้น้ำยาหล่อเย็นที่มีสีและยี่ห้อเดียวกัน
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบและเติมน้ำฉีดกระจกหน้ารถ
ทำไมมันถึงสำคัญ?
น้ำเปล่าใช้ทำความสะอาดกระจกหน้ารถ โดยเฉพาะในวันที่ฝนตกหรือเมื่อมีฝุ่น น้ำเปล่าช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนและมั่นใจในความปลอดภัยในการขับขี่
จะตรวจสอบอย่างไร?
1. หาขวดน้ำแก้ว: ขวดน้ำแก้วโดยทั่วไปจะมีโลโก้ "กระจกหน้ารถ" หรือ "น้ำ" และฝาขวดมักจะเป็นสีน้ำเงิน
2. การสังเกต: บางรุ่นสามารถมองเห็นระดับของเหลวในกาต้มน้ำได้โดยตรง ในขณะที่บางรุ่นต้องเปิดฝาเพื่อดูระดับ หากระดับของเหลวต่ำ จำเป็นต้องเติมน้ำใหม่
เสริมยังไง?
1. การซื้อ: ซื้อน้ำยาฉีดกระจกรถยนต์โดยเฉพาะ
2. ใส่: เปิดฝากาต้มน้ำแล้วเทน้ำแก้วลงไป
เคล็ดลับ: ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาแทนน้ำยาฉีดกระจกหน้ารถ เนื่องจากสิ่งสกปรกในน้ำประปาอาจอุดตันหัวฉีดน้ำ และอาจแข็งตัวได้ง่ายในฤดูหนาว
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบยาง

ทำไมมันถึงสำคัญ?
ยางเป็นชิ้นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับพื้น สภาพของยางมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยในการขับขี่ การตรวจสอบยางอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยป้องกันสถานการณ์อันตราย เช่น ยางระเบิดหรือยางลื่นไถล
จะตรวจสอบอย่างไร?
1. แรงดันลมยาง: มองหาป้ายแรงดันลมยาง (โดยปกติจะอยู่ที่ด้านในของประตูคนขับหรือฝาถังน้ำมัน) ซึ่งระบุถึงแรงดันลมยางปกติ ใช้เกจวัดแรงดันลมยางตรวจสอบแรงดันลมยางแต่ละเส้นเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในช่วงปกติ แรงดันลมยางที่สูงหรือต่ำเกินไปอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง
2. การสึกหรอ: สังเกตความลึกของดอกยาง เมื่อความลึกของดอกยางใกล้ถึงรอยสึก ก็ถึงเวลาเปลี่ยนยางแล้ว
3. รูปลักษณ์ภายนอก: ตรวจสอบแก้มยางว่ามีรอยแตก รอยโป่ง หรือรอยตัดหรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับยางและจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
4. การเจาะตะปู: ตรวจสอบว่ามีตะปูหรือวัตถุแปลกปลอมอื่น ๆ อยู่บนดอกยางหรือไม่
เคล็ดลับ: ขอแนะนำให้ตรวจสอบแรงดันลมยางทุกๆ สองสัปดาห์หรือเดือนละครั้ง โดยเฉพาะก่อนเดินทางไกล
ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบไฟและที่ปัดน้ำฝน
ทำไมมันถึงสำคัญ?
ไฟเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขับรถในเวลากลางคืนและในสภาพอากาศเลวร้าย ในขณะที่ใบปัดน้ำฝนจะช่วยให้คุณมองเห็นได้ชัดเจนในวันที่ฝนตก
จะตรวจสอบอย่างไร?
1. ไฟ: สตาร์ทรถและตรวจสอบว่าไฟสูง ไฟต่ำ ไฟกว้าง ไฟเลี้ยว ไฟเบรค และไฟถอยหลังทำงานถูกต้องหรือไม่
2. ใบปัดน้ำฝน: สตาร์ทใบปัดน้ำฝนและสังเกตว่าสามารถปัดน้ำฝนได้อย่างนุ่มนวลหรือไม่ และมีเสียงผิดปกติหรือรอยขีดข่วนหรือไม่ หากปัดน้ำฝนไม่ออก แสดงว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน
ขั้นตอนที่ 6: ตรวจสอบแบตเตอรี่

ทำไมมันถึงสำคัญ?
แบตเตอรี่ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับสตาร์ทเตอร์ ไฟส่องสว่าง เครื่องเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ของรถยนต์ หากแบตเตอรี่หมด รถจะสตาร์ทไม่ติด
จะตรวจสอบอย่างไร?
1. การเตรียมการ: ค้นหาแบตเตอรี่ ซึ่งโดยปกติจะอยู่ใต้ฝากระโปรง
2. ลักษณะที่ปรากฏ: ตรวจสอบแบตเตอรี่ว่ามีการชำรุด รั่วไหล หรือเกิดการกัดกร่อนหรือไม่
3. การสตาร์ท: หากรถสตาร์ทติดยากหรือรู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามมาก อาจเป็นสัญญาณของประสิทธิภาพแบตเตอรี่ที่ลดลง
4. แรงดันไฟฟ้า: หากคุณมีโวลต์มิเตอร์ คุณสามารถวัดแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ได้ แรงดันไฟฟ้าปกติควรสูงกว่า 12V
เคล็ดลับ: ขอแนะนำให้ตรวจสอบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ทุกๆ สองปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากใช้งานเกินกว่าสามปี
แนะนำสำหรับคุณ
รถยนต์ไฟฟ้า 4 รุ่นที่ขายดีที่สุดในปี 2025 และผู้ชนะยังคงเป็น Tesla
5 นาที แก้หิว! เครื่องทำแซนด์วิช - ให้วันของคุณเต็มไปด้วยพลัง!
รับมืออากาศร้อน: เคล็ดลับดับกลิ่นกายฉบับคนเมือง
รองเท้าแตะที่แนะนำสำหรับฤดูร้อนปี 2025
อาหารแมวจากธรรมชาติ ที่ปรับมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ – อร่อย บริสุทธิ์ และใส่ใจ
Yonex แบรนด์ไม้แบดมินตัน ผู้นำวงการไม้ตบลูกขนไก่