เรื่องเล่าที่ว่าห้ามพูดว่า “ไปกัน” โดยไม่เรียกชื่อ…เพราะผีจะตามมานั้นจริงมั้ย?

user avatar
Ornicha.M (Kiw)·2025-10-24T08:11Z
点赞
เรื่องเล่าที่ว่าห้ามพูดว่า “ไปกัน” โดยไม่เรียกชื่อ…เพราะผีจะตามมานั้นจริงมั้ย?

เงียบ…อย่าเพิ่งพูดว่า “ไปกัน”

กลางคืนบนถนนลูกรังที่ทอดยาวออกจากหมู่บ้าน เสียงจักจั่นดังระงมข้างทาง กลุ่มวัยรุ่นสี่ห้าคนกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับจากดูหนังกลางแปลง เสียงหัวเราะคิกคักดังแข่งกับเครื่องยนต์ แต่พอถึงสามแยกหนึ่งในนั้นเผลอพูดขึ้นว่า
“ไปกันเลยมั้ย?”

อีกคนเบรกแทบไม่ทัน ก่อนหันมาทำหน้าซีด “เฮ้ย! ห้ามพูดแบบนั้นดิ เดี๋ยวผีตาม!”
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากบางคน แต่บางคนกลับนิ่งไปเฉย ๆ เพราะในใจลึก ๆ ก็รู้ดีว่ามันเป็น “คำต้องห้าม” ที่ผู้ใหญ่เตือนกันมาแต่ไหนแต่ไร

แต่เอาจริง…
แค่พูดคำว่า ‘ไปกัน’ โดยไม่เรียกชื่อเนี่ยนะ ผีจะตามมาจริงเหรอ?

เจอผีตามมา

ความเชื่อที่สืบต่อจากยุคบรรพชน

หากย้อนกลับไปดูภูมิปัญญาและความเชื่อของคนไทย “ผี” ไม่ได้หมายถึงสิ่งน่ากลัวเสมอไป แต่คือ “พลังที่มองไม่เห็น” ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์มานาน ทั้งผีบ้านผีเรือน ผีป่า ผีน้ำ หรือแม้แต่ผีคนตายที่ยังวนเวียนอยู่

ในหลายหมู่บ้านจะมีข้อห้ามลึกลับเกี่ยวกับการ “เรียกชื่อ” เช่น

  • ห้ามตะโกนชื่อใครในป่า เพราะจะเรียกผีมาแทนคน

  • ห้ามพูดคำว่า “ไปกัน” เวลาจะเดินทางกลางคืน เพราะ “ผีจะได้โอกาสตามไปด้วย”

  • ห้ามพูดถึงผีในที่เปลี่ยว เพราะอาจ “เรียกแขก” โดยไม่รู้ตัว

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเพื่อหลอกเด็กให้กลัว แต่สะท้อนแนวคิดเรื่อง “พลังของคำพูด” ที่ฝังลึกในวัฒนธรรมไทยและหลายวัฒนธรรมทั่วโลก
คำพูดไม่ได้เป็นเพียงเสียง แต่เป็นการ “เชื้อเชิญ” หรือ “สร้างเจตนา” ซึ่งอาจเปิดประตูให้สิ่งที่มองไม่เห็นเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตเราได้

ทำไมต้องเรียกชื่อ?

ในมุมมองของความเชื่อไทย “ชื่อ” คือสิ่งที่ระบุตัวตนและปกป้องเรา
การเรียกชื่อกันในยามเดินทางหรืออยู่ในที่เปลี่ยว เป็นเหมือนการ “ยืนยันว่าเราเป็นมนุษย์” ไม่ใช่วิญญาณ

ดังนั้น เวลาพูดว่า “ไปกันเลย” โดยไม่ระบุว่า “ไปกันเถอะ เอม – ตูน – เบน” อาจถูกตีความว่าเป็นการพูดลอย ๆ ซึ่ง “ผี” หรือวิญญาณที่อยู่แถวนั้นอาจคิดว่า “เราชวนมันไปด้วย”
เพราะคำว่า “ไปกัน” เป็นคำเชิญที่ไม่ระบุผู้ถูกเชิญ ใครก็อาจตีความว่า “รวมถึงตนเอง” ได้

น่าสนใจไหมว่า ความเชื่อเล็ก ๆ นี้สะท้อนสิ่งใหญ่กว่าที่เราคิด
มันแสดงให้เห็นว่าคนไทยเชื่อใน “พลังของภาษา” และ “การระบุเจตนา” มานานกว่าหลายร้อยปี

มุมมองจากนักมานุษยวิทยา: พลังของคำกับพิธีกรรม

นักมานุษยวิทยาหลายคน เช่น มาลี บุญศิริพันธุ์ (2560) เคยอธิบายว่า ในพิธีกรรมของไทย คำพูดมีสถานะเป็น “การกระทำ” ไม่ใช่แค่เสียง เช่น คำอวยพร คำสาปแช่ง หรือแม้แต่คำเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพิธีไหว้ครู
เพราะฉะนั้น การพูดบางอย่างในสถานการณ์บางแบบ อาจถูกมองว่า “ก่อให้เกิดผล” ในโลกวิญญาณได้จริง

และนี่อาจเป็นรากทางจิตวิญญาณของข้อห้าม “ห้ามพูดว่าไปกันโดยไม่เรียกชื่อ”
ไม่ใช่เพราะเชื่อว่าผีอยู่ทุกที่ แต่เพราะเชื่อว่า คำพูดเป็นพลังที่เปิดประตู
หากพูดลอย ๆ ก็เท่ากับเปิดประตูโดยไม่ล็อก ใครจะเข้ามาก็ได้

คุณเชื่อเรื่องผีไหม? เปิดหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ตอบหมดทุกข้อสงสัยว่า

แล้วในแง่วิทยาศาสตร์ล่ะ?

แน่นอนว่า หากมองจากมุมวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ยังไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า “พูดว่าไปกัน” แล้วจะมีผีตามมาจริง ๆ
แต่จิตวิทยากลับอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างน่าสนใจ

นักจิตวิทยาอธิบายว่า ความกลัว “ผี” คือผลของจินตนาการและการเรียนรู้ทางวัฒนธรรม (Cultural Conditioning)
เมื่อเราได้ยินคำเตือนแบบนี้ตั้งแต่เด็ก สมองเราจะสร้าง “Pattern ของความกลัว” ทันทีเมื่อได้ยินคำต้องห้าม แม้เหตุผลจะไม่มีจริงก็ตาม
และในช่วงที่อารมณ์ตื่นกลัว เช่น เดินในที่มืด หรือเจอสถานการณ์เงียบสงัด สมองจะตีความเสียงรอบข้างผิดเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติได้ง่าย ซึ่งเป็นกลไก “ป้องกันตัว” ของร่างกายด้วยซ้ำ

ดังนั้น “ผีตาม” ในหลายกรณีอาจไม่ใช่วิญญาณจริง ๆ แต่คือผลของ “การตีความ” และ “จิตใต้สำนึก” ที่ทำงานร่วมกับความเชื่อดั้งเดิม

เมื่อความเชื่อกลายเป็นเครื่องมือของสังคม

ความเชื่อเรื่องคำต้องห้ามลักษณะนี้ไม่ได้มีแค่ในไทย เช่น ญี่ปุ่นมีข้อห้าม “ห้ามเรียกชื่อในภูเขา” เพราะเชื่อว่าภูเขาเป็นที่อยู่ของเทพและวิญญาณ ส่วนในฟิลิปปินส์มีข้อห้าม “ห้ามตอบเมื่อมีเสียงเรียกชื่อในป่า” เพราะอาจเป็นผีล่อ

สิ่งเหล่านี้มีหน้าที่ทางสังคมที่ชัดเจน คือ ควบคุมพฤติกรรมของคนให้ระมัดระวังในที่เปลี่ยว
ลองคิดดูสิว่า ถ้าเด็ก ๆ เดินเข้าป่าโดยไม่กลัวอะไรเลย ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน?
แต่ถ้าเราผูกความกลัวกับ “ผี” เข้าด้วยกัน พวกเขาจะระวังมากขึ้นโดยไม่ต้องสั่ง

นี่แหละคือ “ภูมิปัญญาเชิงจิตวิทยา” ของคนโบราณ ที่แม้จะไม่อิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่กลับทำงานได้ผลในเชิงพฤติกรรมมานับร้อยปี

สรุป: ผีตาม…หรือใจเราตามเองกันแน่?

คำถามคือ “ห้ามพูดว่าไปกันโดยไม่เรียกชื่อ เพราะผีจะตามมานั้นจริงไหม?”
ในทางวิทยาศาสตร์ — ไม่พบหลักฐาน
ในทางจิตใจ — มีอิทธิพลจริง
ในทางวัฒนธรรม — เป็นสัญลักษณ์แห่งความระมัดระวังและการเคารพสิ่งที่มองไม่เห็น

บางที “ผี” ที่เรากลัว อาจไม่ใช่วิญญาณร้ายจากที่ไหน
แต่มันคือ “ความกลัวที่เราเลี้ยงไว้ในใจ”
และทุกครั้งที่เราพูดลอย ๆ โดยไม่ตั้งใจ เราอาจกำลังเปิดประตูให้ความกลัวนั้นเดินตามมาเอง

เพราะสุดท้ายแล้ว…
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ผีที่ตามหลังเรา แต่อาจเป็นความเชื่อที่เรายังไม่กล้าตั้งคำถามต่างหาก

บทความล่าสุดดูเพิ่มเติม

“ข้าว” อาหารหลักของคนไทยที่เรากินกันทุกวัน แต่รู้ไหมว่า... ข้าวที่อยู่ในจานแต่ละมื้อ ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดนะ บางชนิดหอม นุ่ม เหนียวหน่อยๆ ส่วนบางชนิดกลับร่วนและหุงง่ายกว่า แล้วแบบนี้ “ข้าวแต่ละประเภทต่างกันยังไง” และเราควรเลือกข้าวแบบไหนให
ข้าวมีกี่ประเภทอะไรบ้าง และแต่ละอย่างแตกต่างกันยังไง?
กลิ่นต้นหอมในถ้วยแกงและคำถามที่ติดอยู่ในใจในเช้าวันหนึ่งช่วงเทศกาล กินเจ คุณเดินผ่านร้านอาหารเจชื่อดังแห่งหนึ่ง กลิ่นหอมของแกงเจเตะจมูกแต่จู่ๆ คุณก็สังเกตว่า “เฮ้ ทำไมไม่มีต้นหอมโรยหน้าล่ะ?”หรือในงานบุญที่มี “กับข้าวเจ” วางเรียงราย แต่คุณกล
เมื่อ “ผักหอมฉุน” ต้องหลีกทาง  ทำไม กระเทียม กุยช่าย หัวหอม ต้นหอม ถึงไม่ใช่ “อาหารเจ”
ลองจินตนาการถึงเสียงทีวีในเช้าวันเสาร์ อาทิตย์ เสียงดนตรีเปิดรายการ “โดเรมอน” ดังขึ้นพร้อมภาพของแมวหุ่นยนต์สีฟ้าที่โผล่มาจากลิ้นชักโต๊ะเรียน นั่นคือช่วงเวลาที่เด็กยุค 90–2000 แทบทุกคนรู้ดีว่า “ถึงเวลาความสุขแล้ว”วันนั้นเราอาจนั่งอยู่บนเก้าอ
การ์ตูนเด็กที่เราโตไปพร้อมกัน (แต่ยังไม่เคยจากลา)