WICKED: FOR GOOD EXPERIENCE เปิดโลกเวทมนตร์ครั้งแรกในไทยก่อนหนังฉาย 20 พ.ย. นี้

การมาถึงของ WICKED: FOR GOOD EXPERIENCE ในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์สำคัญสำหรับแฟนภาพยนตร์และแฟนละครเพลงทั่วโลก เพราะนี่คือครั้งแรกที่ชาวไทยได้สัมผัสโลกของ WICKED อย่างใกล้ชิดที่สุด ผ่านประสบการณ์แบบ Immersive เต็มรูปแบบที่ยกฉากสำคัญจากจักรวาล WICKED มาไว้ที่ เซ็นทรัลชิดลม ชั้น G ให้ผู้เข้าชมได้เดินทางเข้าไปในโลกแห่งเวทมนตร์ สีสัน ความงาม และเรื่องราวของมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ระหว่าง เอลฟาบา และ กลินดา สองแม่มดต่างขั้วที่บทบาทของพวกเธอได้กลายเป็นตำนานไปทั่วโลก ✨💚💖

ประสบการณ์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองก่อนภาพยนตร์ WICKED: FOR GOOD เข้าฉายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งแฟน ๆ ต่างตั้งตารอเพราะนี่คือการดัดแปลงมิวสิคัลบนเวทีที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกให้กลายเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่คาดว่าจะสวยงามตราตรึงใจไม่แพ้ต้นฉบับ

การเปิดประตูสู่โลกแห่งเวทมนตร์ ที่ไม่ใช่แค่การจัดนิทรรศการ

ตั้งแต่ก้าวแรกที่ผู้ชมเดินผ่านทางเชื่อม BTS สถานีชิดลมเข้าสู่ตัวห้าง สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีคือบรรยากาศแห่ง ออซ (Oz) ที่ถูกจำลองขึ้นอย่างวิจิตร ไม่ว่าจะเป็นโทนแสง สี เสียง และจังหวะการดีไซน์ที่ตั้งใจทำให้ผู้มาเยือนได้รู้สึกเหมือนกำลังก้าวข้ามจากโลกจริงไปสู่อีกมิติหนึ่ง ความรู้สึกนี้ทำให้หลายคนหยุดถ่ายรูปตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าเขตนิทรรศการด้วยซ้ำ 📸✨

เมื่อเข้าสู่โซนหลักบนชั้น G ผู้ชมจะพบกับประตูทางเข้าขนาดใหญ่ที่ตั้งใจออกแบบให้เป็นเหมือน "ช่องวาร์ป" ที่จะนำทุกคนเข้าสู่ 7 ห้องแห่งเวทมนตร์ของ WICKED ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองโลกอย่างสมบูรณ์แบบ ได้แก่

• โลกสีเขียวของเอลฟาบา (Elphaba) 💚

• โลกสีชมพูของกลินดา (Glinda) 💖

ทั้งสองโลกถูกถ่ายทอดอย่างมีเอกลักษณ์ทั้งสีสัน แสง ภาพ และเสียง เพื่อให้รู้สึกถึง “ตัวตน” ของแม่มดแต่ละคนอย่างแท้จริง

โลกสีเขียวของเอลฟาบา พลังแห่งความลึกลับ ดิบ เท่ และทรงพลัง

หลายคนรู้จักเอลฟาบาในฐานะแม่มดผู้ถูกตีตราว่าเป็น “แม่มดชั่วร้ายแห่งตะวันตก” แต่ในเรื่อง WICKED เราเห็นเธอในมุมที่แตกต่างมากกว่าเดิม—มุมที่เต็มไปด้วยเหตุผล ความเจ็บปวด ความโดดเดี่ยว และพลังมหาศาลที่ถูกเข้าใจผิดมานาน โลกสีเขียวในนิทรรศการนี้จึงสะท้อนตัวตนและเส้นทางชีวิตของเธอได้อย่างงดงามและลึกซึ้ง

Elphaba’s Tunnel – อุโมงค์ลับแห่งพลังเวทมนตร์

ห้องแรกเป็นอุโมงค์สลัว ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Elphaba’s Lair ในภาพยนตร์ ตัวห้องออกแบบให้ดูลึกลับ ตึงเครียด แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของเอลฟาบา ทุกฝีก้าวมีเสียงกระซิบเบาบาง เสียงลม และเสียงบทอ่านเวทมนตร์ที่ดังเหมือนมาจากทุกทิศ ผู้ชมจะรู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน เหมือนกำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ไม่ควรถูกค้นพบ

Our Wizard Lies – ห้องไม้กวาดและจุดเริ่มต้นความจริงอันโหดร้าย

ห้องถัดไปคือห้องไม้กวาดที่ทำให้ผู้เข้าชมได้ “บิน” ไปกับเอลฟาบาผ่านมุมมองเสมือนจริง เหมือนกำลังลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าพร้อมเงาของเธอที่พุ่งผ่านฉากเมืองออซ บริเวณนี้เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมเพราะภาพที่ได้ออกมาดูเหมือนเป็นโปสเตอร์หนังจริง ๆ 🧹✨

แสงสีและเสียงในห้องนี้ตั้งใจทำให้ผู้ชมรู้สึกถึง “ความจริง” เบื้องหลังโลกที่คนในเรื่องเชื่อกันมายาวนานว่า พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่คือผู้วิเศษที่ถูกต้องที่สุด แต่แท้จริงแล้วมีเรื่องราวซับซ้อนซ่อนอยู่

Kiamo Ko – ปราสาทลึกลับที่ถูกลืม

ห้องสุดท้ายของโลกสีเขียวเป็นห้องที่ดึงแรงบันดาลใจจาก Kiamo Ko สถานที่ซึ่งเอลฟาบาใช้ฝึกพลังและเผชิญหน้ากับความจริงบางอย่าง ห้องนี้มีความดิบและลึกลับที่สุดในนิทรรศการ เสียงสะท้อนของบทเวท เสียงลมหอบ และกำแพงที่ใช้แสงเงาในการสร้างความรู้สึก “ไม่มั่นคง” ทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสถานที่ต้องห้ามจริง ๆ

พื้นที่นี้ช่วยให้เข้าใจความโดดเดี่ยว ความสับสน และพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเอลฟาบาได้อย่างลึกซึ้ง

โลกสีชมพูของกลินดา ความสวยงาม ความหวาน และความสว่างในแบบที่เป็นตัวเธอ

ตัดภาพจากความลึกลับของโลกสีเขียว เราเข้าสู่โลกที่แตกต่างสุดขั้ว—โลกสีชมพูของกลินดา โลกที่เต็มไปด้วยความสดใส ความหวาน ความหวัง และรอยยิ้ม

กลินดาไม่ใช่แม่มดที่สมบูรณ์แบบเสมอไป เธอมีความผิดพลาด ความไม่มั่นใจ และมุมอ่อนไหว แต่สิ่งที่เธอมักมอบให้คนรอบตัวได้เสมอคือ “แสงแห่งความดีงาม” ที่ทำให้ทุกอย่างสวยงามขึ้น โลกสีชมพูถูกออกแบบสื่อสารสิ่งนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม

Glinda’s Penthouse – พื้นที่หรูหราเหมือนฉากมิวสิคัล

ห้องแรกเต็มไปด้วยแสงสีชมพูแบบ Rose Glow พร้อมดอกไม้หลากสีที่ออกแบบให้ “บาน” ตามแสงที่เคลื่อนไหว ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีราวมิวสิคัลยุคใหม่ 🌸💖 ความหรูหราของเพนต์เฮาส์ช่วยสะท้อนตัวตนของกลินดาที่ดูเพียบพร้อม แต่ก็ซ่อนความกังวลเล็กๆ ที่ผู้ชมจะได้สัมผัสผ่านเพลงในภาพยนตร์

Glinda’s Bubble – ห้องบับเบิลสุดเซอร์ไพรส์

จุดนี้เป็นไฮไลต์ที่หลายคนชอบ เพราะมีปุ่ม “แตะเพื่อสร้างบับเบิล” ที่พื้น เมื่อกดแล้วทั้งห้องจะเต็มไปด้วยแสงสะท้อนเป็นคลื่น ๆ คล้ายลูกบอลเวทมนตร์ลอยอยู่รอบตัว เหมือนโมเมนต์ที่กลินดาลอยเข้ามาในมิวสิคัลต้นฉบับ 🫧✨

มันเป็นห้องที่ทำให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสความน่ารักและความสดใสของกลินดาแบบเต็มๆ

Glinda’s Wedding Ballroom – ห้องแต่งงานแสนอบอุ่น

หนึ่งในฉากสำคัญของเรื่องถูกนำมาถ่ายทอดใหม่ผ่านเทคนิค Projection Mapping บนกำแพง ทั้งห้องจะเหมือนมีชีวิตเมื่อผู้เข้าชมยืนบนจุดที่กำหนด ภาพของงานแต่งงานสุดโรแมนติกระหว่างกลินดาและฟิเยโรจะก่อตัวขึ้นตรงหน้าอย่างนุ่มนวลราวกับอยู่ในงานจริง 💍✨

จุดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึก “หวานปนเศร้า” และเล่าเรื่องราวความผูกพันที่เต็มไปด้วยทั้งความรัก ความเสียสละ และเส้นทางที่ทุกคนต้องเลือกเดิน

Final Instapod Moment ห้องแห่งมิตรภาพที่สวยที่สุดของนิทรรศการ

ห้องสุดท้ายคือสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างเอลฟาบาและกลินดา—มิตรภาพที่งดงาม แม้เส้นทางชีวิตจะพาพวกเธอไปคนละที่ แต่ความผูกพันยังอยู่เสมอ

ห้องนี้เป็นห้องที่เปลี่ยนสีระหว่าง “เขียว” และ “ชมพู” อย่างนุ่มนวล ทำให้พื้นที่ดูเหมือนกำลังรวมสองโลกเข้าด้วยกัน กลายเป็นห้องที่มีความหมายที่สุดในประสบการณ์นี้ 🌈💚💖

ไม่ว่าจะมาถ่ายรูปหรือมาชมเฉย ๆ ทุกคนจะรู้สึกถึง “ความงดงามของการยอมรับและเข้าใจกัน” ซึ่งเป็นธีมหลักของ WICKED ที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนาน

ฟรีตลอดงาน! ประสบการณ์ระดับโลกที่เข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ WICKED: FOR GOOD EXPERIENCE ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมากคือการเปิดให้เข้าชม ฟรี ตลอดงานตั้งแต่วันที่ 11–30 พฤศจิกายน 2568 ทำให้ทั้งแฟนตัวจริงและคนทั่วไปสามารถเข้ามาสัมผัสโลกแห่งเวทมนตร์นี้ได้อย่างง่ายดาย

นี่ไม่ใช่แค่กิจกรรมโปรโมตภาพยนตร์ แต่เป็นประสบการณ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้เข้าชมได้ “อิน” กับเรื่องราวของ WICKED มากขึ้น และเข้าใจตัวละครทั้งสองในมิติที่ลึกกว่าการชมหนังอย่างเดียว

นิทรรศการนี้เป็นเหมือนการเชื่อมผู้ชมเข้ากับหัวใจของเรื่อง WICKED ผ่านการออกแบบที่สวยงาม สมบูรณ์ และเต็มไปด้วยความหมาย ทั้งความลึกลับของเอลฟาบาและความสดใสของกลินดาถูกนำมาถ่ายทอดผ่าน 7 ห้องอย่างลงตัว

สิ่งที่ทำให้งานนี้พิเศษคือมันไม่ได้เป็นแค่การนำฉากจากภาพยนตร์มาจัดเรียง แต่เป็นการ “ถ่ายทอดหัวใจของตัวละคร” ผ่านแสง สี เสียง และบรรยากาศ จนผู้ชมรู้สึกเหมือนได้รับรู้ความรู้สึก ความเจ็บปวด ความหวัง และความผูกพันของทั้งสองตัวละครจริง ๆ

มันคือประสบการณ์ที่ตราตรึง อ่อนโยน และเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์—แบบที่ไม่มีใครควรพลาด ก่อนจะไปพบกันบนจอภาพยนตร์วันที่ 20 พฤศจิกายนนี้