ชาและกาแฟ… ทำไมแต่ละคนถึงตอบสนองต่างกัน?


คุณเคยเป็นไหม?
บางครั้งดื่มกาแฟเช้า ๆ เพื่อปลุกตัวเองให้สดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับวันทำงาน แต่กลับพบว่าตัวเองยังง่วง เหมือนกาแฟไม่ได้ช่วยอะไรเลย ในขณะเดียวกัน หลายคนดื่มชาตอนบ่ายเพื่อต้องการผ่อนคลายหรือโฟกัสงาน แต่พอตอนกลางคืนกลับนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะพยายามทำตัวผ่อนคลายแค่ไหน ก็ยังรู้สึกตาตื่นอยู่
หลายคนอาจสงสัยว่า “ทำไมเครื่องดื่มยอดนิยมเหล่านี้ถึงส่งผลต่างกันกับร่างกายของแต่ละคน?” คำตอบอยู่ที่ คาเฟอีนและวิธีที่ร่างกายแต่ละคนตอบสนองต่อมันแตกต่างกัน คาเฟอีนไม่ใช่สิ่งเดียวกันสำหรับทุกคน ร่างกายบางคนดูดซึมและเมตาบอลิซ์คาเฟอีนเร็ว ทำให้ได้ผลเร็วและตื่นตัวทันที ในขณะที่บางคนกลับตอบสนองช้า จนอาจทำให้รู้สึกง่วง หรือบางครั้งร่างกายไวต่อคาเฟอีนมาก ทำให้แม้ดื่มเพียงเล็กน้อยก็ยังนอนไม่หลับ
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ใคร ๆ ก็สามารถเจอประสบการณ์แบบนี้ได้ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมการรู้จัก ร่างกายตัวเองและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่มชาและกาแฟ จึงสำคัญมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า ทำไมบางคนดื่มกาแฟแล้วง่วง ทำไมบางคนดื่มชาตอนกลางวันแล้วนอนไม่หลับ พร้อมเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องดื่มได้เหมาะกับร่างกายและสไตล์ชีวิตของตัวเอง

☕ ทำไมกาแฟบางคนดื่มแล้วง่วง
หลายคนคงคุ้นเคยกับความคิดที่ว่า “กาแฟ = ตื่นตัว” แต่ความจริงกลับซับซ้อนกว่านั้น
การเมตาบอลิซ์คาเฟอีน
ร่างกายแต่ละคนมีเอนไซม์และยีนที่แตกต่างกันในการย่อยคาเฟอีน
-
บางคนเมตาบอลิซ์เร็ว → คาเฟอีนถูกย่อยเร็ว อาจรู้สึกเฉย ๆ หรือแม้กระทั่งง่วงหลังดื่ม
-
บางคนเมตาบอลิซ์ช้า → ตื่นตัวชัดเจน แต่ถ้าดื่มมากอาจใจสั่นหรือปวดหัว
สภาพร่างกายก่อนดื่ม
ถ้าวันนั้นคุณเหนื่อยมาก ร่างกายอาจใช้คาเฟอีนไม่เต็มที่ คาเฟอีนที่ควรจะกระตุ้นสมองอาจกลับทำให้สมองรู้สึก ผ่อนคลายชั่วคราว แทนที่จะตื่นตัว☕ ทำไมบางคนดื่มกาแฟแล้วนอนไม่หลับ
คาเฟอีนเป็น สารกระตุ้นระบบประสาทกลาง
-
ดื่มช่วงบ่ายหรือเย็น → คาเฟอีนยังคงอยู่ในร่างกาย 4–6 ชั่วโมง (บางคนอาจนานถึง 12 ชั่วโมง)
-
คนที่ไวต่อคาเฟอีนสูง → แม้ดื่มตอนเช้า ก็อาจนอนไม่หลับ
-
ดื่มมากเกินไป → อาจหัวใจเต้นเร็ว ปวดหัว หรือกระวนกระวาย
💡 เคล็ดลับ: หากเป็นคนไวต่อคาเฟอีน ควรจำกัดกาแฟอยู่แค่ เช้าและก่อนบ่ายเท่านั้น

ชั่วโมงชีวภาพของร่างกาย
ร่างกายมีวงจรนาฬิกาชีวภาพ ถ้าดื่มกาแฟผิดช่วงเวลา ผลลัพธ์อาจสวนทาง เช่น ดื่มเช้าแต่ร่างกายยังอยู่ช่วง “ง่วงกลางคืนเล็กน้อย” → รู้สึกกาแฟไม่ช่วย
🍵 ดื่มชาก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
ชามีคาเฟอีนต่ำกว่ากาแฟ แต่ก็มี ผลต่อการนอน ขึ้นอยู่กับร่างกายและช่วงเวลาที่ดื่ม
-
ดื่มเช้า–บ่ายต้น ๆ → มักไม่กระทบการนอน
-
ดื่มหลังบ่าย 2 → คนไวต่อคาเฟอีนอาจนอนไม่หลับตอนกลางคืน
-
ชาสมุนไพรไร้คาเฟอีน → ช่วงเย็นเหมาะสำหรับผ่อนคลาย
คนที่ไม่ดื่มกาแฟแต่ดื่มชาเป็นประจำ เช่น คุณ จะพบว่า ชาเข้มตอนเย็นอาจทำให้นอนยาก ขณะที่ชาอ่อนหรือชาสมุนไพรก่อนบ่าย สามารถช่วยให้สมองโฟกัสโดยไม่ทำลายการนอน
🌟 ประสบการณ์จริงจากชีวิตประจำวัน
หลายคนเล่าว่า:
-
เช้า ๆ ดื่มกาแฟ → สดชื่นและโฟกัสงาน แต่ถ้าวันไหนลืมดื่ม → ปวดหัว ง่วง และสมาธิสั้น
-
ดื่มชาตลอดวัน → รู้สึกใจสงบ โฟกัสงานได้นาน แต่ถ้าดื่มชาหลังบ่าย 2 → กลางคืนตาค้าง นอนไม่หลับ
บางคนผสมผสานทั้งสองอย่าง:
-
เช้า → กาแฟหนึ่งแก้ว กระตุ้นพลัง
-
บ่ายต้น ๆ → ชาเขียวหรือชาดำ โฟกัสงาน
-
เย็น → ชาสมุนไพรไร้คาเฟอีน ผ่อนคลายก่อนนอน
รูปแบบนี้ช่วยให้ทั้งร่างกายและจิตใจบาลานซ์ดี
📝 เคล็ดลับสำหรับคนไวต่อคาเฟอีน
-
เลือกชาแบบคาเฟอีนต่ำ หรือชาสมุนไพรไร้คาเฟอีนสำหรับช่วงบ่าย–เย็น
-
กำหนดเวลาในการดื่มชาและกาแฟให้ชัดเจน
-
สังเกตร่างกายตัวเอง: ใครไวต่อคาเฟอีนสูงควรลดปริมาณ
-
ผสมผสานเครื่องดื่มให้เหมาะกับวันทำงานและไลฟ์สไตล์
💡 สรุปง่าย ๆ: คาเฟอีนแต่ละคนตอบสนองต่างกัน ต้องรู้จักร่างกายและจัดเวลาดื่มให้เหมาะสม
📌 บทสรุป
ชาและกาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม แต่ผลลัพธ์ต่อร่างกายแตกต่างกัน
-
กาแฟ → กระตุ้นเร็ว เหมาะกับคนต้องการพลังทันที
-
ชา → ผ่อนคลายและช่วยสมาธิ แต่ถ้าไวต่อคาเฟอีน ต้องระวังช่วงเวลา
“ชาและกาแฟคือเพื่อนของวันเรา แต่การรู้จักเวลาและปริมาณคือเพื่อนแท้ของร่างกาย”
แนะนำสำหรับคุณ
การนอนหลับคือกุญแจสำคัญของการลดน้ำหนักหรือไม่?
ผู้ใช้ TikTok ต่างพากันพูดถึงเคล็ดลับการแต่งหน้าที่เป็นไวรัลนี้ แต่จะปลอดภัยจริงหรือ?
คุณคิดว่าคุณกำลังดูแลกระเพาะอาหารอยู่ แต่จริงๆ แล้วมันทำร้ายกระเพาะอาหาร!
คุณมีอาการท้องผูกหลังวันหยุดหรือเปล่า? ไม่ต้องกังวล เรามีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำ!
หน้าร้อนปี 2568 ของไทย ดื่มเครื่องดื่มเย็นอย่างไรให้ปลอดภัย!
ไม่อยากเหม็นตัวเพราะอากาศร้อนจัดของเมืองไทยใช่ไหม? เรามีเคล็ดลับดีๆ มาฝาก!