อาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างเป็นประจำเดือน


ทำความเข้าใจร่างกายผู้หญิงอย่างอ่อนโยนและรอบด้าน
“ทุกเดือน ฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ต้องสู้กับอารมณ์เหวี่ยง ปวดท้อง และอยากกินของหวานแบบไม่มีเหตุผล”
คำพูดนี้อาจทำให้หลายคนยิ้มอย่างเข้าใจ เพราะแทบไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่เคยสัมผัสกับอาการต่าง ๆ ระหว่างมีประจำเดือน
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ—อาการเหล่านั้นไม่ใช่แค่เรื่อง “ธรรมดา” ของการเป็นผู้หญิงเท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทาง ฮอร์โมน ระบบประสาท และสภาวะร่างกายที่ซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเป็นประจำเดือน” แบบละเอียด เข้าใจง่าย และมีคำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้ทุกเดือนผ่านไปได้อย่างสบายใจและเข้าใจร่างกายของตัวเองมากขึ้น
ประจำเดือนคืออะไร
ก่อนจะเข้าใจอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มาทำความรู้จัก “ประจำเดือน” กันก่อน
ประจำเดือน (Menstruation) คือกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายเพศหญิง ซึ่งเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเตรียมมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์
เมื่อไม่มีการปฏิสนธิ เยื่อบุมดลูกที่หนาตัวขึ้นจะหลุดออกมาเป็นเลือดประจำเดือน โดยมีรอบประมาณ 28 วัน (แต่บางคนอาจสั้นหรือยาวกว่านี้เล็กน้อยก็ยังถือว่าปกติ)
การมีประจำเดือนเป็นสัญญาณสำคัญของระบบสืบพันธุ์ที่สมบูรณ์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างอาจสร้างความไม่สบายให้กับผู้หญิงจำนวนมาก
ทำไมถึงเกิดอาการระหว่างเป็นประจำเดือน
เมื่อร่างกายเข้าสู่ช่วงมีประจำเดือน ฮอร์โมนเพศหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะระดับของ เอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อทั้งระบบประสาท สมอง และกล้ามเนื้อ
ฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปนี้มีผลโดยตรงต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เช่น
-
ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวเพื่อขับเลือดออก จึงเกิดอาการ ปวดท้องประจำเดือน
-
มีผลต่อสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) ทำให้เกิดอาการ อารมณ์แปรปรวน หรือ หงุดหงิดง่าย
-
มีผลต่อการกักเก็บน้ำในร่างกาย ทำให้รู้สึก บวมน้ำ น้ำหนักขึ้นเล็กน้อย
-
รวมถึงอาการอื่น ๆ เช่น ปวดหัว เหนื่อยง่าย หรือรู้สึกอยากอาหารบางประเภท
พูดง่าย ๆ คือ อาการเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในจินตนาการของผู้หญิง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติของร่างกาย

อาการที่มักเกิดขึ้นระหว่างเป็นประจำเดือน
อาการระหว่างมีประจำเดือนอาจแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสุขภาพโดยรวม แต่โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็นหมวดใหญ่ ๆ ดังนี้
1. อาการทางร่างกาย
ปวดท้องน้อย
เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการที่มดลูกบีบตัวเพื่อขับเลือดออก อาการปวดอาจเริ่มตั้งแต่วันก่อนมีประจำเดือนและค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเลือดเริ่มออก
วิธีดูแล:
-
ประคบร้อนบริเวณท้องน้อย
-
ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ
-
หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและอาหารมันจัด
ปวดหลัง
เกิดจากแรงดันของมดลูกและกล้ามเนื้อรอบ ๆ บริเวณหลังส่วนล่าง
วิธีดูแล:
-
ยืดเหยียดเบา ๆ
-
ใช้หมอนรองหลังเมื่อนั่งนาน
-
นอนในท่าที่สบายที่สุด เช่น นอนตะแคงงอเข่าเล็กน้อย
ปวดศีรษะหรือไมเกรน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมีผลต่อเส้นเลือดในสมอง ทำให้บางคนปวดหัวหรือไมเกรน
วิธีดูแล:
-
พักผ่อนให้เพียงพอ
-
ดื่มน้ำมาก ๆ
-
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สว่างจ้าหรือเสียงดัง
ท้องอืด บวมน้ำ
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น
วิธีดูแล:
-
ลดอาหารเค็ม
-
ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
-
ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียน
เจ็บหน้าอก
ต่อมเต้านมจะบวมหรือไวต่อการสัมผัสเนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เปลี่ยนแปลง
วิธีดูแล:
-
เลือกสวมเสื้อในที่พอดีตัว
-
หลีกเลี่ยงคาเฟอีน
-
ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเบา ๆ

2. อาการทางอารมณ์และจิตใจ
ฮอร์โมนที่ลดลงส่งผลต่อสมองโดยตรง โดยเฉพาะเซโรโทนินซึ่งเกี่ยวข้องกับความสุขและอารมณ์ ทำให้ผู้หญิงหลายคนมีอารมณ์แปรปรวน
อาการที่พบบ่อยได้แก่:
-
หงุดหงิดง่าย
-
อ่อนไหว ขี้ร้องไห้
-
เหนื่อยล้า ไม่มีแรงจูงใจ
-
นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
-
อยากอยู่คนเดียว
เคล็ดลับดูแลอารมณ์:
-
ฟังเพลงเบา ๆ หรือออกไปเดินเล่น
-
ดื่มเครื่องดื่มอุ่น เช่น ชาคาโมมายล์หรือโกโก้ร้อน
-
เขียนบันทึกหรือพูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้
อาการทางอารมณ์เหล่านี้จะดีขึ้นเองเมื่อฮอร์โมนเริ่มกลับสู่สมดุลหลังหมดประจำเดือน
3. อาการทางผิวพรรณและความงาม
ในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน ฮอร์โมนเพศหญิงจะลดลง ส่งผลให้ผิวอาจมันขึ้น รูขุมขนกว้าง หรือเกิดสิวโดยเฉพาะบริเวณคางและแก้ม
การดูแลผิวช่วงนี้:
-
ล้างหน้าให้สะอาดแต่ไม่รุนแรง
-
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์สูง
-
ดื่มน้ำเยอะ ๆ และพักผ่อนเพียงพอ
-
หากมีสิวอักเสบมากควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
4. อาการทางระบบย่อยอาหาร
บางคนอาจรู้สึกว่าช่วงมีประจำเดือน “ท้องเสีย” หรือ “ท้องผูก” ได้ง่าย นั่นเพราะฮอร์โมนโปรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ที่ช่วยให้มดลูกบีบตัว อาจส่งผลต่อระบบลำไส้ด้วย
วิธีดูแล:
-
รับประทานอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ผักผลไม้
-
หลีกเลี่ยงอาหารมันจัดและนมในบางราย
-
ดื่มน้ำอุ่นช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
5. อาการอื่น ๆ ที่พบได้เป็นครั้งคราว
-
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย: จากการเสียเลือดและพลังงาน
-
เวียนหัว หน้ามืด: โดยเฉพาะคนที่มีภาวะโลหิตจาง
-
อยากกินของหวานหรือของเค็ม: เพราะร่างกายพยายามปรับสมดุลน้ำตาลและเกลือแร่
-
นอนไม่หลับ: จากการปวดเมื่อยและความไม่สบายตัว
อาการเหล่านี้อาจไม่รุนแรง แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกมากผิดปกติ ปวดเกินทน หรือมีไข้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ใครที่มักมีอาการเหล่านี้มากกว่าปกติ
-
วัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือน – ระบบฮอร์โมนยังไม่คงที่ ทำให้อาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่
-
ผู้หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล – เช่น PCOS หรือภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
-
ผู้ที่มีความเครียดสูง – ความเครียดส่งผลโดยตรงต่อสมองและระบบฮอร์โมน
-
ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ – ทำให้ร่างกายอ่อนแอและอาการชัดขึ้น

เคล็ดลับการดูแลตัวเองในช่วงมีประจำเดือน
การเข้าใจร่างกายและปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถช่วยให้อาการระหว่างมีประจำเดือนลดลงได้อย่างมาก
1. รับประทานอาหารที่เหมาะสม
-
เลือกอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ ผักใบเขียว
-
เสริมแมกนีเซียมจากกล้วย อัลมอนด์ ถั่วต่าง ๆ
-
ลดของมัน ของทอด และอาหารรสจัด
2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
น้ำช่วยลดอาการบวมน้ำและขับของเสียออกจากร่างกาย
3. ออกกำลังกายเบา ๆ
แม้จะรู้สึกไม่อยากขยับตัว แต่การเดินหรือโยคะเบา ๆ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอาการปวดเกร็งได้ดี
4. พักผ่อนให้เพียงพอ
นอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยให้ฮอร์โมนกลับมาสมดุลและลดความเครียด
5. บันทึกรอบเดือนของตัวเอง
เพื่อสังเกตความผิดปกติ เช่น รอบเดือนสั้นหรือยาวเกินไป ปริมาณเลือดมากผิดปกติ หรืออาการปวดเกินทน เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำ
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
อาการระหว่างมีประจำเดือนถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากพบอาการต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ
-
ปวดประจำเดือนรุนแรงจนใช้ชีวิตไม่ได้
-
มีเลือดออกมากเกินไปหรือเกิน 7 วัน
-
มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่
-
มีไข้ หนาวสั่น หรือมีกลิ่นผิดปกติ
-
รอบเดือนมาถี่หรือห่างผิดปกติ
อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงโรคอื่น เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, ถุงน้ำรังไข่, หรือ ฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งสามารถรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ
สรุป: ฟังร่างกายตัวเองให้มากขึ้น
อาการที่เกิดขึ้นระหว่างเป็นประจำเดือนไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ แต่มันคือสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกอะไรบางอย่างกับเรา การเข้าใจและรับฟังร่างกายคือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพผู้หญิงอย่างยั่งยืน
ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน หรือสิวที่ขึ้นในช่วงนั้นของเดือน สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในที่ละเอียดอ่อน เมื่อเราเข้าใจมัน เราจะรู้ว่าควรดูแลตัวเองอย่างไรให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างสบายใจที่สุด
เพราะในท้ายที่สุด “การมีประจำเดือน” ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือยุ่งยากเกินไป
แต่คือเครื่องยืนยันว่าร่างกายของเรายังทำงานอย่างสมบูรณ์ และพร้อมให้เราเรียนรู้ที่จะรักและดูแลมันอย่างอ่อนโยนมากขึ้นในทุกเดือน
แนะนำสำหรับคุณ
น้ำยาบ้วนปาก🛁 ไอเทมเพิ่มความมั่นใจประจำวัน
คาเฟ่ อเมซอน: กาแฟระดับพรีเมียม เพื่อช่วงเวลาแห่งความสุข
ปรับบุคลิกให้ดูดี: แค่เริ่มจากท่าทางง่ายๆ ก็เห็นผล!
รสดีเมนู: มีติดครัวไว้ อร่อยได้ทุกเมนูไม่ต้องปรุงเพิ่ม!
เรียนรู้“30 วันที่ดีที่สุดในการการลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี
ปกป้องสุขภาพจากภัยที่มองไม่เห็น ด้วยเครื่องฟอกอากาศ!