🏃‍♀️ เดิน ๆ อยู่แล้วเจ็บต้นขาลามไปถึงเอว เกิดจากอะไร?

user avatar
Ornicha.M (Kiw)·2025-11-03T08:44Z
点赞
🏃‍♀️ เดิน ๆ อยู่แล้วเจ็บต้นขาลามไปถึงเอว เกิดจากอะไร?

อาการเล็ก ๆ ที่ร่างกายกำลังบอกให้เราหันมาดูแลมัน

เคยไหม เดินอยู่ดี ๆ แล้วรู้สึก “เจ็บต้นขา” แบบจี๊ด ๆ
บางคนเจ็บเฉพาะข้างหนึ่ง บางคนลามขึ้นมาถึงเอวหรือสะโพก
ตอนแรกอาจคิดว่าแค่เมื่อย แต่พอเดินต่อกลับเจ็บมากขึ้น จนต้องหยุดพักกลางทาง

หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า “ต้นขา” กับ “เอว” คือจุดเชื่อมสำคัญของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทในร่างกาย
ดังนั้นเมื่อมีอาการเจ็บในบริเวณนี้ มักหมายความว่ามีบางส่วนของระบบกล้ามเนื้อกำลังส่งสัญญาณเตือน

ไม่ต้องตกใจไป เพราะอาการนี้พบได้บ่อย ทั้งในคนทั่วไปและคนออกกำลังกาย
วันนี้เรามาดูกันให้ชัด ๆ ว่า “เจ็บต้นขาลามไปถึงเอว” เกิดจากอะไรได้บ้าง
พร้อมเคล็ดลับดูแลตัวเองแบบเข้าใจร่างกายและไม่ต้องฝืน

ปวดร้าวที่ขา ก้าวขาไม่ออก - ธิติวงษ์คลินิกการแพทย์แผนไทย - ตอกเส้นไม่เจ็บ

💡 ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจโครงสร้างร่างกายส่วน “ต้นขา–เอว” กันก่อน

บริเวณต้นขา เอว และสะโพก คือจุดศูนย์กลางของการเคลื่อนไหว
เวลายืน เดิน วิ่ง หรือแม้แต่นั่ง กล้ามเนื้อและเส้นประสาทในส่วนนี้จะทำงานร่วมกันตลอดเวลา

กล้ามเนื้อหลักที่เกี่ยวข้องได้แก่:

  • กล้ามเนื้อสะโพก (Gluteus) – ช่วยทรงตัวและควบคุมการเคลื่อนไหวของขา

  • กล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) – ช่วยยืดเข่าและรับน้ำหนักตัว

  • กล้ามเนื้อหลังต้นขา (Hamstrings) – ช่วยงอเข่าและดึงขาไปด้านหลัง

  • กล้ามเนื้อสะโพกด้านหน้า (Iliopsoas) – ควบคุมการยกขาและทรงตัว

  • เส้นประสาทไซอาติก (Sciatic Nerve) – เส้นประสาทใหญ่ที่พาดจากหลังส่วนล่างไปถึงเท้า

เพราะทุกระบบเชื่อมโยงกันแบบนี้ อาการเจ็บจึงไม่จำเป็นต้องเกิดจาก “ต้นขา” เพียงอย่างเดียว
แต่อาจเกิดจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อสะโพก เส้นประสาทที่ถูกกดทับ หรือข้อต่อบริเวณเอวที่อักเสบ

⚡ สาเหตุหลักของอาการ “เจ็บต้นขาลามถึงเอว”

1. กล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้งานมากเกินไป (Muscle Strain)

สาเหตุยอดฮิต โดยเฉพาะในคนที่เดินเยอะ วิ่งบ่อย หรือออกกำลังกายหนักโดยไม่วอร์มอัพ

ลักษณะอาการ:

  • เจ็บตึงบริเวณต้นขา สะโพก หรือเอว โดยเฉพาะเวลาเดินหรือลุกขึ้นยืน

  • ปวดเพิ่มขึ้นเมื่อออกแรง

แนวทางดูแลเบื้องต้น:

  • พักกล้ามเนื้อที่เจ็บอย่างน้อย 1–3 วัน

  • ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก แล้วสลับเป็นประคบร้อนเพื่อลดอาการตึง

  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขาเบา ๆ เมื่อเริ่มดีขึ้น

2. เส้นประสาทไซอาติกถูกกดทับ (Sciatica)

เส้นประสาทไซอาติกเป็นเส้นประสาทที่ยาวที่สุดในร่างกาย
เมื่อถูกกดทับจากหมอนรองกระดูกหรือกล้ามเนื้อที่รัดแน่นเกินไป
จะเกิดอาการ “ปวดร้าวจากสะโพกหรือต้นขาไปถึงเอวและขา”

อาการที่พบ:

  • ปวดแปลบเหมือนไฟช็อต ลามลงขา

  • บางครั้งรู้สึกชา หรือขาอ่อนแรง

  • เจ็บเพิ่มเวลาไอ จาม หรือนั่งนาน ๆ

วิธีดูแลเบื้องต้น:

  • หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดิมนานเกิน 1 ชั่วโมง

  • ยืดกล้ามเนื้อหลังและสะโพกวันละ 2–3 ครั้ง

  • หากอาการไม่ดีขึ้นภายในสัปดาห์ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเส้นประสาทเพิ่มเติม

3. กล้ามเนื้อสะโพกลึกตึงเกินไป (Piriformis Syndrome)

กล้ามเนื้อ Piriformis อยู่ลึกในสะโพก ช่วยหมุนขาออกด้านนอก
ถ้ามันตึงหรือเกร็งมากเกินไป จะไปกดเส้นประสาทไซอาติกจนเกิดอาการปวดร้าว

สัญญาณบอก:

  • ปวดบริเวณก้นหรือต้นขาด้านหลัง โดยเฉพาะเวลานั่ง

  • ปวดลามขึ้นเอวหรือสะโพกด้านข้าง

แนวทางบรรเทา:

  • ยืดกล้ามเนื้อด้วยท่า “Figure 4 Stretch” หรือ “Pigeon Pose”

  • ใช้ลูกเทนนิสหรือลูกบอลยางคลึงบริเวณก้นเบา ๆ เพื่อคลายจุดตึง

  • หลีกเลี่ยงการวิ่งบนพื้นแข็งหรือการยกของหนักช่วงมีอาการ

4. ข้อต่อสะโพกอักเสบ (Hip Joint Inflammation)

ข้อต่อสะโพกรับแรงจากการเดิน วิ่ง หรือยกของตลอดเวลา
หากมีการใช้งานผิดท่าหรือมีแรงกระแทก อาจเกิดการอักเสบได้

อาการเด่น:

  • ปวดลึก ๆ บริเวณขาหนีบหรือต้นขาด้านใน

  • เจ็บลามขึ้นเอวเมื่อขยับตัว

  • อาจมีเสียง “กึก” เวลาหมุนสะโพก

แนวทางดูแล:

  • หลีกเลี่ยงท่านั่งขัดสมาธิหรือไขว่ห้าง

  • ใช้ความร้อนประคบบริเวณที่ปวด

  • ฝึกโยคะหรือท่ายืดสะโพกเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อ

5. หมอนรองกระดูกเคลื่อน (Herniated Disc)

หากเจ็บจากเอวร้าวลงขา โดยเฉพาะด้านหลัง อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนมากดเส้นประสาท

สังเกตอาการ:

  • ปวดร้าวจากเอวไปถึงต้นขาหรือขา

  • รู้สึกชาหรือเหมือนมดไต่บริเวณขา

  • เจ็บมากขึ้นเมื่อก้ม หรือยกของหนัก

แนวทางดูแลเบื้องต้น:

  • หลีกเลี่ยงการก้มเร็วหรือบิดตัวแรง

  • นั่งโดยมีหมอนรองหลัง

  • หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์หรือกายภาพบำบัด

6. ภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุล (Muscle Imbalance)

เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อข้างหนึ่งมากกว่าข้างอื่น เช่น ยืนเอียง นั่งขัดสมาธิ หรือเดินน้ำหนักไม่เท่ากัน

ผลที่ตามมา:
กล้ามเนื้อข้างหนึ่งสั้นและแข็ง อีกข้างอ่อนแรง ทำให้เกิดการดึงรั้งจนเจ็บ

ทางแก้:

  • ฝึกยืดกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขาทั้งสองข้าง

  • เสริมกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) เช่น Plank, Bridge, Bird Dog

  • ปรับท่าทางยืน นั่ง และเดินให้สมดุล

🧍‍♀️ ใครบ้างที่มักเจออาการนี้

  • คนที่เดินหรือวิ่งเป็นประจำโดยไม่วอร์มอัพ

  • คนทำงานออฟฟิศที่นั่งนานวันละหลายชั่วโมง

  • ผู้สูงอายุที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง

  • คนที่ออกกำลังกายหนักโดยไม่ยืดกล้ามเนื้อหลังและสะโพกให้เพียงพอ

💪 เคล็ดลับดูแลตัวเองเมื่อมีอาการเจ็บต้นขาลามถึงเอว

✅ 1. พักแต่ไม่หยุดเคลื่อนไหว

การนอนพักเฉย ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อตึงมากขึ้น
ลองเปลี่ยนเป็นเดินเบา ๆ หรือยืดกล้ามเนื้อช้า ๆ แทน

✅ 2. วอร์มอัพและคูลดาวน์ทุกครั้ง

ก่อนออกกำลังกายควรยืดกล้ามเนื้อสะโพก ต้นขา และเอวอย่างน้อย 5–10 นาที
หลังออกกำลังกายก็อย่าลืมคูลดาวน์เพื่อลดการตึงตัว

✅ 3. เสริมความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว

กล้ามเนื้อ Core ที่แข็งแรงช่วยพยุงหลังและสะโพกให้มั่นคง
ฝึกท่าง่าย ๆ เช่น Plank, Glute Bridge, Dead Bug ทุกวัน

✅ 4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

กล้ามเนื้อตึงและอักเสบได้ง่ายเมื่อขาดน้ำ
พยายามดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้ว โดยเฉพาะระหว่างวันทำงานหรือหลังออกกำลัง

✅ 5. ใช้อุปกรณ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อ

โฟมโรลเลอร์หรือลูกบอลนวดเล็ก ๆ ใช้กลิ้งคลายจุดตึงบริเวณสะโพกและต้นขาได้ดี
วันละ 10–15 นาทีหลังอาบน้ำอุ่นช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

ปวดหลังร้าวลงขา สัญญาณหมอนรองกระดูกทับเส้น รีบรักษาก่อนสาย

🧘‍♀️ ท่ายืดกล้ามเนื้อแนะนำ ช่วยลดอาการเจ็บต้นขา–เอว

  1. Knee-to-Chest Stretch
    นอนหงาย ดึงเข่าข้างหนึ่งเข้าหาหน้าอก ค้างไว้ 20–30 วินาที

  2. Piriformis Stretch (Figure 4)
    นอนหงาย พาดข้อเท้าข้างหนึ่งบนเข่าอีกข้าง ดึงขาเข้าหาตัวเบา ๆ

  3. Standing Quad Stretch
    ยืนตรง ดึงเท้าข้างหนึ่งไปด้านหลัง จับข้อเท้าไว้ให้ตึงบริเวณต้นขา

  4. Cat–Cow Stretch (โยคะ)
    ช่วยคลายหลังส่วนล่าง และเพิ่มการไหลเวียนเลือด

🚨 เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

  • ปวดมากจนเดินไม่ไหว

  • มีอาการชาหรืออ่อนแรงที่ขา

  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน

  • เคยมีอุบัติเหตุก่อนเริ่มปวด เช่น หกล้มหรือยกของหนัก

การตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้รักษาได้ตรงจุดและฟื้นตัวได้เร็วกว่า

🌈 สรุปส่งท้าย : ฟังเสียงร่างกายไว้เสมอ

อาการ “เดิน ๆ แล้วเจ็บต้นขาลามถึงเอว” อาจดูไม่รุนแรง
แต่ร่างกายกำลังบอกบางอย่างกับเรา ว่ามีจุดที่ใช้งานหนักเกินไป หรือเริ่มเสียสมดุล

อย่าฝืน อย่าปล่อยไว้ ลองพัก ยืด และปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ
เพราะสุขภาพดีไม่ใช่การไม่เจ็บเลย แต่คือ “การรู้ทันและดูแลตัวเองได้ทันเวลา” 💪

และจำไว้ว่า

การหยุดพักหนึ่งวันเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว ดีกว่าต้องหยุดออกกำลังกายไปทั้งเดือนเพราะบาดเจ็บสะสม ❤️

บทความล่าสุดดูเพิ่มเติม

ปัญหาเรื่องการผิวหน้าหย่อนคล้อยเป็นสิ่งที่หลีกเหลี่ยงยาก แต่ยังทำได้อยู่! ถ้าเราดูแลตัวเองอยากถูกวิธีและสม่ำเสมอ!เคยไหม…ส่องกระจกแล้วรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มไม่เฟิร์มเหมือนเดิม ผิวที่เคยเต่งตึงเริ่มหย่อนคล้อย แม้จะทาครีมบำรุงก็ยังดูไม่แน่นเหมือ
💆‍♀️ เครื่อง HIFU ยกกระชับ หน้าตึงเองได้ที่บ้าน ไม่ง้อคุณหมอ!
ไปเที่ยวแคมปิ้ง สิ่งที่สำคัญไม่แพ้เรื่องกินคือการนอน!ในยุคที่ “ธรรมชาติ” กลายเป็นจุดหมายของการพักผ่อนหลายคนเริ่มออกเดินทางไปแคมป์ปิ้ง สูดอากาศบริสุทธิ์ ทิ้งความวุ่นวายในเมืองไว้ข้างหลังแต่ใครที่เคยกางเต็นท์นอนบนพื้นแข็ง ๆ หรือโดนยุงกัดตอนกล
ที่นอนปิคนิค ไอเท็มสุดล้ำค่าของชาวแคมปิ้ง!
เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นได้จากการรู้จักร่างกายของตัวเองเคยไหมครับ…ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกมึนหัว ใจเต้นเร็ว หรือบางวันอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอ่อนเพลียแบบไม่มีสาเหตุหลายคนอาจคิดว่าแค่พักผ่อนไม่พอหรือดื่มน้ำน้อยแต่รู้ไหมว่า “ความดันโลหิต” คือสัญญาณสำคัญที
เครื่องวัดความดัน: ผู้ช่วยสุขภาพประจำบ้านที่ควรมีติดไว้

แนะนำสำหรับคุณ