วิธีแก้ท้องผูกที่ดีที่คุณควรรู้


อาการท้องผูก ปัญหาที่ดูเหมือนจะพบได้บ่อยแต่สร้างความรำคาญใจ สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่นั่งๆ นอนๆ หรือคนยุคใหม่ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ ดูเหมือนว่าอาการท้องผูกมักจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ แล้วอาการท้องผูกคืออะไรกันแน่? เกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะแก้ไขได้อย่างไร?

อาการท้องผูกคืออะไร?
อาการท้องผูกเป็นปัญหาระบบย่อยอาหารที่พบบ่อย มักเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ หลังจากอาหารถูกย่อยและดูดซึมโดยกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กแล้ว ลำไส้ใหญ่จะดูดซับน้ำและอิเล็กโทรไลต์ ก่อตัวเป็นเศษอาหารแข็ง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "อุจจาระ" เมื่อลำไส้เคลื่อนไหว อุจจาระจะสะสมอยู่ในทวารหนัก กระตุ้นตัวรับที่ผนังลำไส้ และทำให้เรารู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ ในที่สุด อุจจาระจะต้องถูกขับออกทางทวารหนักเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมภายในให้คงที่ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลายประการ อุจจาระอาจตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานาน ทำให้ถ่ายยาก ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก
อาการท้องผูกมักแสดงอาการหลักๆ เช่น ความถี่ในการขับถ่ายลดลง ถ่ายอุจจาระแข็งและลำบาก อาการหลักๆ ได้แก่ ถ่ายอุจจาระไม่เป็นเวลา 3 วัน ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อุจจาระแข็ง (เช่น ประเภท 1 หรือ 2 ตามระดับความยากของบริสตอล) ถ่ายอุจจาระลำบากและเบ่ง รู้สึกว่าถ่ายอุจจาระไม่หมดแม้จะรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ รู้สึกอุดตันที่ทวารหนักและไส้ตรง และถ่ายอุจจาระนานหรือถ่ายอุจจาระโดยวิธีอื่นร่วมด้วย อาการท้องผูกที่นานกว่า 6 เดือนถือเป็นอาการท้องผูกเรื้อรัง

อาการท้องผูกมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง?
สาเหตุของอาการท้องผูกมีมากมาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากปัญหาทางจิตใจและจิตใจ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม และโรคที่ส่งผลต่อการขับถ่าย ความเครียดทางจิตใจและความเครียดที่มากเกินไปอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารและนำไปสู่อาการท้องผูก พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น พฤติกรรมการขับถ่ายผิดปกติ การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล การขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ ล้วนเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก ตัวอย่างเช่น การไม่รับประทานผัก การกินน้อยเกินไปเพื่อลดน้ำหนัก การขับถ่ายไม่เป็นเวลาในตอนเช้า การกลั้นอุจจาระหลังจากรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ เป็นต้น ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี นอกจากนี้ โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และยาที่ใช้รักษาโรคเหล่านี้ ก็อาจทำให้เกิดหรือทำให้อาการท้องผูกรุนแรงขึ้นได้เช่นกัน
อันตรายจากอาการท้องผูกที่ไม่ควรมองข้าม
แม้ว่าอาการท้องผูกจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงนัก แต่อาการท้องผูกเรื้อรังก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อาการของอาการท้องผูกเองอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายทางกาย เช่น ท้องอืดและปวดท้อง ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ที่สำคัญกว่านั้น อาการท้องผูกยังทำให้เกิดการสะสมของสารเมตาบอไลต์ในลำไส้ ทำให้ไม่สามารถขับสารพิษได้ตามปกติ หลังจากสารพิษถูกดูดซึมแล้ว ความผิดปกติของระบบเผาผลาญในร่างกายจะรุนแรงขึ้น สำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้ว อาการท้องผูกจะเพิ่มความดันในช่องท้องขณะขับถ่าย และความดันโลหิตจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภาระของหลอดเลือดและหัวใจจะเพิ่มขึ้น และโอกาสที่จะเกิดภาวะเลือดออกในสมองเฉียบพลันและกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน

จะปรับปรุงอาการท้องผูกได้อย่างไร?
การปรับปรุงอาการท้องผูกต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายและเป็นระบบ ขั้นแรก ให้ระบุประเภทของอาการท้องผูกและเข้ารับการวินิจฉัยที่โรงพยาบาลเพื่อแยกปัญหาทางระบบที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างลำไส้หรือโรคทางระบบ หากไม่มีสาเหตุอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบหรือโรคทางระบบ แสดงว่าอาการท้องผูกเกิดจากการทำงานผิดปกติ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นแนวทางหลัก
การปรับอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ การรับมือกับความเครียดในชีวิตอย่างเหมาะสม การเรียนรู้ที่จะบรรเทาความเครียด และการรักษาอารมณ์เชิงบวก จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่าตื่นตระหนกเรื่องท้องผูก หลีกเลี่ยงความวิตกกังวล การจดจ่ออยู่กับการขับถ่ายมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
การปรับเปลี่ยนอาหารการกินก็สำคัญไม่แพ้กัน รับประทานผลไม้สด ผักสด และธัญพืชไม่ขัดสีที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ เช่น มังกรฟรุต ลูกพรุน ผักเคล ขึ้นฉ่าย ข้าวไรย์ และรำข้าว ให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวัน
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการท้องผูกเช่นกัน คุณสามารถออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การเดินเร็ว การวิ่งเหยาะๆ โยคะ ฯลฯ โดยเฉพาะการเดินหลังอาหาร ซึ่งจะช่วยให้การขับถ่ายราบรื่นยิ่งขึ้น
การปรับปรุงนิสัยการขับถ่ายก็สำคัญเช่นกัน อย่ากลั้นอุจจาระ ให้ถ่ายอุจจาระทันทีที่รู้สึกอยากอาหาร พยายามสร้างกิจวัตรการขับถ่ายให้สม่ำเสมอ ช่วงเช้าและหลังอาหารเป็นช่วงที่การขับถ่ายจะเคลื่อนไหวมากที่สุด ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการขับถ่าย แม้ว่าจะไม่รู้สึกอยากอาหาร ก็ยังนั่งยองๆ เพื่อช่วยสร้าง "นาฬิกาชีวภาพ" สำหรับการขับถ่ายได้ วางโทรศัพท์หรือหนังสือลงเมื่อกำลังถ่ายอุจจาระ เพ่งความสนใจไปที่สิ่งรบกวน และลดสิ่งรบกวนให้น้อยที่สุด
การปรับท่าทางการขับถ่ายยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อีกด้วย ท่าทางการขับถ่ายที่ดีที่สุดคือท่าที่ลำตัวและต้นขาทำมุม 35 องศา สามารถทำได้โดยการนั่งยองๆ นั่งตัวตรงและโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย หรือใช้เก้าอี้เตี้ยๆ เป็นตัวช่วย
หากวิธีการข้างต้นไม่สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้ คุณสามารถรับประทานยาบางชนิดภายใต้การดูแลของแพทย์ เช่น ยาระบายกระตุ้น ยาระบายออสโมซิส ยาระบายเพิ่มปริมาณ ยากระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ยากระตุ้นการหลั่ง ยาสวนทวาร ยาเหน็บ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อป้องกันการดื้อยา
แม้ว่าอาการท้องผูกจะพบได้บ่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาหายขาดได้ การปรับเปลี่ยนอารมณ์ ปรับเปลี่ยนอาหาร ออกกำลังกาย ปรับปรุงพฤติกรรมการขับถ่าย และรับประทานยาเมื่อจำเป็น จะช่วยให้เราทุกคนค้นพบวิธีแก้ปัญหาของตนเอง เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
แนะนำสำหรับคุณ
การนอนหลับคือกุญแจสำคัญของการลดน้ำหนักหรือไม่?
คุณคิดว่าคุณกำลังดูแลกระเพาะอาหารอยู่ แต่จริงๆ แล้วมันทำร้ายกระเพาะอาหาร!
รับมืออากาศร้อน: เคล็ดลับดับกลิ่นกายฉบับคนเมือง
ผู้ใช้ TikTok ต่างพากันพูดถึงเคล็ดลับการแต่งหน้าที่เป็นไวรัลนี้ แต่จะปลอดภัยจริงหรือ?
อาการท้องผูกหลังวันหยุดแก้ได้! รวมเคล็ดลับที่ช่วยให้ลำไส้กลับมาทำงานได้ดี
ประโยชน์ของการดื่มกาแฟ!
“อุปกรณ์กำจัดขน ไม่ใช่เครื่องพันธนาการอันเปราะบาง แต่คือการประกาศอิสรภาพของร่างกายและความงามในแบบที่เราเลือกเอง”
คอมพลีทลุคด้วยไอเทมเดียว! เลือกสเปรย์เซ็ตติ้งที่เหมาะกับคุณ
ปรับบุคลิกให้ดูดี: แค่เริ่มจากท่าทางง่ายๆ ก็เห็นผล!
น้ำยาบ้วนปาก🛁 ไอเทมเพิ่มความมั่นใจประจำวัน
ปกป้องสุขภาพจากภัยที่มองไม่เห็น ด้วยเครื่องฟอกอากาศ!