🥣 กรีกโยเกิร์ต: ซูเปอร์ฟู้ดแห่งยุค กับประโยชน์ที่มากกว่าความอร่อย

user avatar
SuthruthaiP.(Wine)·2025-10-07T10:49Z
点赞
🥣 กรีกโยเกิร์ต: ซูเปอร์ฟู้ดแห่งยุค กับประโยชน์ที่มากกว่าความอร่อย

ในยุคที่เทรนด์รักสุขภาพกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว “กรีกโยเกิร์ต” (Greek Yogurt) กลายเป็นอาหารที่หลายคนพูดถึงมากที่สุด ทั้งในวงการฟิตเนส คนลดน้ำหนัก ไปจนถึงสายเฮลตี้ที่เน้นอาหารธรรมชาติ เพราะนอกจากรสชาติที่อร่อยเข้มข้นแล้ว ยังอัดแน่นไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และจุลินทรีย์ดีต่อร่างกายอีกมากมาย

แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า…
กรีกโยเกิร์ตแตกต่างจากโยเกิร์ตทั่วไปอย่างไร?
กินกรีกโยเกิร์ตทุกวันดีจริงไหม?
ควรเลือกยี่ห้อแบบไหนถึงจะได้ประโยชน์เต็มที่?

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ “ทุกมิติ” ของกรีกโยเกิร์ต ตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงวิธีเลือกรับประทานอย่างมืออาชีพ

ประโยชน์ของกรีกโยเกิร์ต ข้อดี ข้อเสีย กรีกโยเกิร์ตดียังไง

เครดิตภาพ true id

🧀 ที่มาของกรีกโยเกิร์ต – จากวัฒนธรรมโบราณสู่ซูเปอร์ฟู้ดยุคใหม่

กรีกโยเกิร์ตมีต้นกำเนิดจากประเทศกรีซและตะวันออกกลาง ซึ่งคนท้องถิ่นนิยมนำ “นมวัวหรือนมแพะ” มาหมักด้วยจุลินทรีย์แลกติก (Lactic Acid Bacteria) เพื่อถนอมอาหารและยืดอายุการเก็บรักษา

ในขั้นตอนการทำกรีกโยเกิร์ตนั้น จะ กรองน้ำหรือน้ำเวย์ (Whey) ออกมากกว่าสามัญโยเกิร์ตทั่วไป ทำให้เนื้อโยเกิร์ตมีความเข้มข้นกว่า รสสัมผัสหนืดและครีมมี่ เหมือนครีมชีสเล็กน้อย และมี โปรตีนสูงกว่าสองเท่า แต่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า

ในปัจจุบัน กรีกโยเกิร์ตถูกผลิตอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และไทย เพราะกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “อาหารสุขภาพที่ครบเครื่องทั้งอร่อยและดีต่อร่างกาย”


ความแตกต่างระหว่างกรีกโยเกิร์ตและโยเกิร์ตทั่วไป

หลายคนอาจคิดว่าโยเกิร์ตทุกแบบเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้ว “กระบวนการผลิต” ต่างหากที่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการแตกต่างกันอย่างชัดเจน

รายการ

โยเกิร์ตทั่วไป

กรีกโยเกิร์ต

กระบวนการผลิต

หมักนมและบรรจุโดยไม่กรองน้ำเวย์ออก

หมักนมแล้วกรองน้ำเวย์ออกหลายครั้ง

เนื้อสัมผัส

เหลวหรือนุ่มละมุน

หนา เข้มข้น เหมือนครีมชีส

ปริมาณโปรตีน

3–5 กรัมต่อ 100 กรัม

8–10 กรัมต่อ 100 กรัม

ปริมาณน้ำตาล

สูงกว่า

ต่ำกว่า

ปริมาณไขมัน

มีทั้งแบบ 0% และปกติ

มีทั้งแบบไขมันต่ำและเต็มมันเนย

ประโยชน์ต่อสุขภาพ

ช่วยระบบขับถ่าย

เสริมสร้างกล้ามเนื้อ อิ่มนาน ควบคุมน้ำหนัก

สรุปสั้น ๆ:
กรีกโยเกิร์ต = โปรตีนสูง + น้ำตาลต่ำ + อิ่มนาน + ดีต่อกล้ามเนื้อและระบบลำไส้

5a06d7bb-9a58-4814-9d95-b2ed55c0e428.png

เครดิตภาพ true id

พลังของจุลินทรีย์ “โปรไบโอติก” ในกรีกโยเกิร์ต

หนึ่งในเหตุผลที่โยเกิร์ตโดยเฉพาะ “กรีกโยเกิร์ต” ได้รับความนิยม คือ การมี “โปรไบโอติก” (Probiotics) หรือแบคทีเรียดีที่ช่วยสร้างสมดุลในระบบทางเดินอาหาร เช่น

  • Lactobacillus bulgaricus

  • Streptococcus thermophilus

  • Bifidobacterium spp.

ประโยชน์ของโปรไบโอติกในกรีกโยเกิร์ต ได้แก่
✅ ช่วยย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น
✅ ลดอาการท้องอืด ท้องผูก และแก้ปัญหาลำไส้แปรปรวน
✅ เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
✅ ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้
✅ ปรับสมดุลจุลชีพในร่างกาย โดยเฉพาะในคนที่รับประทานยาปฏิชีวนะบ่อย

การกินกรีกโยเกิร์ตเป็นประจำ (วันละ 1 ถ้วย 150–200 กรัม) จะช่วยฟื้นฟู “ไมโครไบโอมในลำไส้” ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อผิวพรรณ สมอง และอารมณ์ด้วย


ประโยชน์ของกรีกโยเกิร์ตต่อสุขภาพ

1.เสริมสร้างกล้ามเนื้อและช่วยลดน้ำหนัก

ด้วยปริมาณ โปรตีนสูง และ คาร์โบไฮเดรตต่ำ กรีกโยเกิร์ตจึงเหมาะสำหรับคนที่ออกกำลังกายหรือต้องการลดน้ำหนัก เพราะโปรตีนช่วยให้อิ่มนาน ลดการกินจุกจิก และช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย

งานวิจัยจาก Harvard University พบว่า คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำ มีแนวโน้มลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่กิน เพราะจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตช่วยเร่งการเผาผลาญและควบคุมระดับอินซูลินในเลือด

2.บำรุงผิวพรรณและสุขภาพภายใน

กรีกโยเกิร์ตมีวิตามิน B2, B12 และแร่ธาตุสำคัญอย่าง แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นจากภายใน ลดสิว และเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน

นอกจากนี้ โปรไบโอติกยังช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ส่งผลให้ผิวพรรณสดใสขึ้นตามธรรมชาติ

932685ff-2d6f-41d6-9091-39081b29960b.jpeg

3.ปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร

ผู้ที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย ควรกินกรีกโยเกิร์ตทุกวัน เพราะจุลินทรีย์ดีในโยเกิร์ตจะช่วยย่อยแลคโตสและส่งเสริมการขับถ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ

4.เสริมภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง

การรับประทานกรีกโยเกิร์ตช่วยให้ร่างกายมี “ภูมิต้านทาน” ต่อเชื้อโรคดีขึ้น เนื่องจากแบคทีเรียดีในลำไส้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง

มีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่บริโภคโยเกิร์ตเป็นประจำ มีอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจน้อยกว่าคนทั่วไปถึง 30%


🧍‍♀️ 5. ใครควรกิน และใครควรระวัง

✅ กลุ่มที่เหมาะกับกรีกโยเกิร์ต

  • ผู้ที่ต้องการ ควบคุมน้ำหนัก

  • ผู้ที่ออกกำลังกาย หรือสร้างกล้ามเนื้อ

  • ผู้ที่มีปัญหา ระบบขับถ่ายไม่ปกติ

  • ผู้สูงอายุที่ต้องการ แคลเซียมสูง

  • เด็กวัยเรียนที่ต้องการ โปรตีนและพลังงานที่ดี

⚠️ กลุ่มที่ควรระวัง

  • ผู้แพ้นมหรือมีภาวะ Lactose Intolerance ควรเลือกกรีกโยเกิร์ตแบบ “Lactose Free”

🏡 9. วิธีทำกรีกโยเกิร์ตเองที่บ้านแบบง่าย ๆ

อยากได้กรีกโยเกิร์ตสดใหม่ ปลอดภัย ไม่มีน้ำตาลแฝง? คุณสามารถ “ทำเองได้ที่บ้าน” ง่ายกว่าที่คิด!
เพียงมีนมสดกับโยเกิร์ตธรรมชาติเล็กน้อย ก็สามารถสร้างซูเปอร์ฟู้ดระดับพรีเมียมได้ด้วยตัวเอง

🥛 วัตถุดิบที่ต้องเตรียม

  1. นมสด 1 ลิตร (แนะนำแบบพาสเจอร์ไรส์ ไม่ควรใช้นมข้นหรือนมเปรี้ยว)

  2. โยเกิร์ตธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ (ต้องมีคำว่า Live Culture หรือ จุลินทรีย์มีชีวิต)

  3. ผ้าขาวบาง / ผ้ากรอง / กระชอน / ภาชนะสะอาด

  4. หม้อ หรือภาชนะสำหรับต้มและหมัก

🔥 ขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนที่ 1 : อุ่นนม

  • เทนมสดใส่หม้อและ อุ่นด้วยไฟอ่อนถึงกลาง ประมาณ 80°C
    (ไม่ต้องให้เดือด เพียงแค่อุ่นให้ร้อนเพื่อฆ่าเชื้อที่ไม่ต้องการ)

  • พอร้อนแล้ว พักไว้ให้เย็นลงเหลือประมาณ 40–45°C (อุ่นมือได้แต่ไม่ร้อนจัด)

💡 เคล็ดลับ: ถ้านมร้อนเกินไป จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตจะตายและไม่เกิดการหมัก

ขั้นตอนที่ 2 : ใส่โยเกิร์ตเริ่มต้น

  • ตักโยเกิร์ตธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะลงในนมอุ่น

  • คนเบา ๆ ให้เข้ากัน ไม่ต้องแรง

  • ปิดฝาภาชนะให้สนิท

ขั้นตอนที่ 3 : หมักให้ได้โยเกิร์ต

  • นำภาชนะไปวางในที่อุ่น (เช่น ใกล้เตา, กล่องโฟม หรือห่มผ้าขนหนูไว้)

  • ปล่อยหมักไว้ประมาณ 6–8 ชั่วโมง

  • เมื่อครบเวลา เปิดดูจะเห็นว่านมเริ่มข้นขึ้น มีเนื้อโยเกิร์ตจับตัว

🕒 ถ้าชอบรสเปรี้ยวจัด หมักได้นานถึง 10 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกินนี้เพราะจะเปรี้ยวเกินไป

ขั้นตอนที่ 4 : กรองน้ำเวย์ออกเพื่อให้กลายเป็น “กรีกโยเกิร์ต”

  • วางผ้าขาวบางบนกระชอน แล้วเทโยเกิร์ตลงไป

  • ปล่อยให้น้ำเวย์ (น้ำใส ๆ ที่ออกมา) ไหลลงภาชนะข้างล่าง

  • พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 2–3 ชั่วโมง เพื่อให้เนื้อโยเกิร์ตหนาขึ้น

💡 ยิ่งกรองนาน เนื้อจะยิ่งข้น ถ้าอยากได้แบบครีมชีส กรอง 4 ชั่วโมงขึ้นไป
💧 น้ำเวย์ที่ได้อย่าทิ้ง! สามารถนำไปผสมสมูทตี้หรือทำแพนเค้กเพิ่มโปรตีนได้

ขั้นตอนที่ 5 : เก็บใส่ภาชนะ

  • ตักกรีกโยเกิร์ตที่กรองแล้วใส่กล่องแก้วหรือถ้วยสะอาด

  • แช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา

  • สามารถเก็บได้ ประมาณ 5–7 วัน


116118e9-0a22-4604-93e8-71a051af57b8.jpeg

🍓 7. วิธีทานกรีกโยเกิร์ตให้อร่อยและได้ประโยชน์

  1. กินเปล่า ๆ ในตอนเช้า เพื่อปรับสมดุลลำไส้

  2. ผสมผลไม้สด เช่น กล้วย เบอร์รี แอปเปิล เพิ่มไฟเบอร์และวิตามิน

  3. ใส่ธัญพืชหรือกราโนลา เพื่อเพิ่มความกรุบกรอบและพลังงานที่ยั่งยืน

  4. ใช้แทนมายองเนสหรือนมข้นจืด ในเมนูสลัดหรือสมูทตี้

  5. ทำซอสโยเกิร์ตโฮมเมด เช่น ซอสกระเทียม ซอสผักชี หรือซอสสลัด


🌿 8. สรุป: กรีกโยเกิร์ต อาหารเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนสุขภาพได้จริง

กรีกโยเกิร์ตไม่ใช่เพียงโยเกิร์ตธรรมดา แต่เป็น “อาหารแห่งการดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน” ที่ช่วยปรับสมดุลร่างกายจากภายในสู่ภายนอก

เพียงแค่เริ่มจากถ้วยเล็ก ๆ ทุกเช้า คุณจะได้ทั้งสุขภาพดี ระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น ผิวพรรณสดใส และพลังงานที่ยาวนานตลอดวัน

“สุขภาพที่ดี เริ่มต้นได้ง่าย ๆ แค่เลือกกรีกโยเกิร์ตให้เป็น” 🥰
ไม่ว่าคุณจะกินเพื่อลดน้ำหนัก เสริมกล้าม หรือดูแลลำไส้
กรีกโยเกิร์ตคือเพื่อนคู่ครัวที่ไม่ควรขาดในทุกเช้า 🌞

บทความที่เกี่ยวข้อง

ในช่วงวันหยุด คนยุ่งๆ มักจะไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พวกเขาดูทีวี เล่นเกม หรือนั่งเฉยๆ โดยที่มักจะไม่มีใครสังเกตเห็น พวกเขามักจะยืดหลังตรงอย่างรวดเร็ว แต่สักพักก็กลับมาเอนหลังอีกครั้ง เราจำเป็นต้องนั่งตัวตรงเพื่อปกป้องหลังของเราจริงหรือ? เก
การนอนเหยียดยาวบนโซฟาดีต่อสุขภาพจริงหรือ? บทความนี้มีคำตอบ!
หลายคนเชื่อว่าการกินผลไม้ตอนเย็นหรือก่อนนอนอาจทำให้อ้วน เพราะร่างกายเผาผลาญได้น้อยกว่าตอนกลางวัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ผลไม้ทุกชนิดที่จะทำให้อ้วนหากเราเลือกผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง น้ำตาลต่ำ และมีคุณสมบัติช่วยในการย่อยอาหาร ก็สามารถกินได้แม้ในตอ
5 ผลไม้ที่กินตอนเย็นแล้วไม่อ้วน (ที่หลายคนยังไม่รู้!) 🍎🍊🥝

บทความล่าสุดดูเพิ่มเติม

น้ำเปล่าอุ่น ๆ แค่แก้วเดียวในแต่ละวัน ดูเหมือนเรื่องง่าย ๆแต่จริง ๆ แล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายจนหลายคนอาจคาดไม่ถึงไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ผิวพรรณสดใสขึ้นและช่วยให้ใจเราผ่อนคลายแบบเรียบง่ายแต่ได้ผลจริงหลายคนอาจชอบด
🫖 ดื่มน้ำอุ่น… เรื่องเล็ก ๆ ที่ดีต่อร่างกายมากกว่าที่คิด
ทำไมต้องสนใจระดับน้ำตาลในเลือดระดับน้ำตาลในเลือด (Blood Glucose) เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มี ความเสี่ยงหรือป่วยเป็นโรคเบาหวาน การตรวจน้ำตาลในเลือดช่วยให้คุณ:ติดตามสุขภาพตัวเองได้อย่างต่อเนื่องป้องกันภาวะแทรกซ้อ
เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด: อุปกรณ์สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและการดูแลสุขภาพ
เมล็ดเจียคืออะไร?เมล็ดเจีย (Chia Seeds) เป็นเมล็ดพืชที่มาจาก ต้นเจีย (Salvia hispanica) ซึ่งเป็นพืชตระกูลสะระแหน่ มีต้นกำเนิดจาก เม็กซิโกและกัวเตมาลา ตั้งแต่ยุคโบราณ โดยชาวแอซเท็กและชาวมายาใช้เมล็ดเจียเป็นอาหารและยา เนื่องจากให้พลังงานสูง แ
เมล็ดเจีย (Chia Seeds) – ซูเปอร์ฟู้ดเล็ก ๆ คุณประโยชน์มหาศาล