งานวิจัยจากฮาร์วาร์ด: ทำไมเราไม่ควรกลัวฝันร้าย

user avatar
ZestHealthCare·2025-08-26T08:00Z
点赞
งานวิจัยจากฮาร์วาร์ด: ทำไมเราไม่ควรกลัวฝันร้าย

เวลาที่เราฝันร้าย หลายคนมักสะดุ้งตื่นขึ้นมา ใจเต้นแรง รู้สึกหวาดกลัว หรือบางครั้งถึงกับไม่อยากหลับต่อ ความรู้สึกนี้ทำให้หลายคนมองว่า “ฝันร้ายคือศัตรูของการนอนหลับ” แต่ในความเป็นจริง งานวิจัยใหม่ ๆ โดยเฉพาะจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กลับบอกเราว่า ฝันร้ายอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และในบางกรณี ฝันร้ายอาจมีหน้าที่สำคัญต่อจิตใจของเราด้วยซ้ำ


📜 ฝันร้ายในมุมมองประวัติศาสตร์

หากย้อนกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ฝันร้ายเคยถูกนิยามไว้อย่างน่าสนใจว่าเป็น “โรคที่เกิดจากความรู้สึกว่ามีวัตถุหนักกดทับร่างกายขณะนอนหลับ” คำจำกัดความนี้มาจากหนังสืออ้างอิงชื่อ The Universal Etymological Dictionary of the English Language ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1721 และยังคงถูกอ้างอิงซ้ำ ๆ อีกหลายสิบปี

แม้นิยามดังกล่าวจะไม่เป็นที่ใช้กันในปัจจุบัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์เรามอง “ฝันร้าย” มาตั้งแต่โบราณว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกหวาดกลัว วิตกกังวล และทุกข์ใจ และแน่นอนว่าความเข้าใจนี้ยังคงอยู่ในสังคมยุคใหม่ เพียงแต่ถูกอธิบายด้วยภาษาทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น

7743230e-b4b6-4b05-8587-ac0b8278b6db.jpeg

🧠 ฝันร้ายเกิดขึ้นที่ไหนในสมอง?

ดร. เดียร์ดรี บาร์เร็ตต์ นักจิตวิทยาคลินิกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อธิบายว่า ฝันร้ายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง การนอนหลับแบบ REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นระยะที่สมองทำงานค่อนข้างมาก ดวงตาเคลื่อนไหวรวดเร็ว หัวใจเต้นแรง และหายใจเร็วขึ้น

ในช่วง REM สมองส่วน ฮิปโปแคมปัส ซึ่งทำหน้าที่จัดเก็บความทรงจำ และ อะมิกดาลา ซึ่งควบคุมการตอบสนองต่อความกลัว จะทำงานอย่างหนัก นี่คือเหตุผลว่าทำไมความฝันในช่วงนี้จึงสดใสและเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง บางครั้งมันถูกจัดเก็บเป็น “ฝันดี” แต่บางครั้งก็กลายเป็น “ฝันร้าย”

38de1e2f-380f-4bab-9fb7-1edf64353ee1.jpeg

👶 ทำไมเด็กฝันร้ายมากกว่าผู้ใหญ่?

งานวิจัยพบว่า เด็กอายุ 3–6 ปีมีโอกาสฝันร้ายบ่อยกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า สาเหตุหนึ่งมาจากวิวัฒนาการ เพราะเด็กยังมีร่างกายเล็กและเปราะบาง สมองจึงสร้างภาพฝันที่สะท้อน “ความเสี่ยง” เพื่อช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะระวังภัยรอบตัว ในมุมนี้ ฝันร้ายจึงอาจเป็น “ครู” ที่ช่วยฝึกสัญชาตญาณการป้องกันตัว

😱 ฝันร้าย vs อาการผวากลางคืน

หลายคนมักสับสนระหว่าง “ฝันร้าย” กับ “ผวากลางคืน” (night terror) ซึ่งแท้จริงแล้วต่างกัน

  • ฝันร้าย: มักเกิดในช่วง REM เราจำภาพฝันได้ชัดเจน ตื่นมาพร้อมความกลัวแต่ยังเล่าเรื่องฝันได้

  • ผวากลางคืน: มักเกิดในช่วง non-REM ลึก เด็กมักร้องไห้ กรีดร้อง หรือดิ้นไปมา แต่เมื่อตื่นกลับจำอะไรไม่ได้

ดร. บาร์เร็ตต์ชี้ว่า ฝันร้ายคือเรื่องราวที่สมองสร้างขึ้น ในขณะที่อาการผวากลางคืนเป็นเพียง “ปฏิกิริยาทางกาย” ที่เกิดจากความกลัวโดยไม่ผ่านการเล่าเรื่อง

c9ee2917-8b88-4a80-97e8-e592f07531b2.jpeg

🔍 สาเหตุของฝันร้าย

ฝันร้ายเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น

  • ความเครียดและความวิตกกังวล

  • การนอนผิดเวลา หรือนอนไม่พอ

  • ผลข้างเคียงจากยา

  • โรคทางจิตเวช เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล

  • และโดยเฉพาะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือภาวะเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กในปี 2009 พบว่า ผู้ป่วย PTSD ถึง 80% มีฝันร้ายซ้ำ ๆ และการศึกษาในทหารผ่านศึกสงครามเวียดนามก็พบว่า กว่าครึ่งหนึ่งมีฝันร้ายบ่อยครั้ง เทียบกับพลเรือนที่มีเพียง 3% เท่านั้น

🌌 บาดแผลในใจและภาพฝันซ้ำ ๆ

ฝันร้ายในผู้ที่มี PTSD มักมีลักษณะคล้ายเหตุการณ์จริง เช่น ทหารที่เคยอยู่ในสนามรบจะฝันถึงเสียงระเบิดหรือภาพสงครามซ้ำ ๆ ซึ่งสะท้อนว่าอะมิกดาลาในสมองทำงานมากเกินไป ทำให้ความทรงจำแห่งความกลัวไม่ถูกเก็บอย่างสงบ

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ การเผชิญหน้าฝันร้ายอาจเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาได้ นักจิตบำบัดบางคนใช้เทคนิคที่เรียกว่า Imagery Rehearsal Therapy (IRT) โดยให้ผู้ป่วยเขียนฝันร้ายออกมา แล้วเปลี่ยนตอนจบให้เป็นบวก เช่น จากการถูกไล่ล่าในฝัน กลายเป็นการหนีรอดได้สำเร็จ จากนั้นให้ทบทวนฉากใหม่นี้ซ้ำ ๆ ก่อนนอน เพื่อให้สมองเรียนรู้ว่ามี “ทางออก” จากฝันร้ายได้เสมอ

🛌 แล้วเราควรมองฝันร้ายอย่างไร?

แทนที่จะกลัวหรือพยายามหนีฝันร้าย งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดเสนอว่า เราควร มองฝันร้ายเป็นหน้าต่างที่สะท้อนอารมณ์และความเครียดในชีวิตจริง การที่สมองสร้างภาพฝันที่น่ากลัว อาจเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยเรา “ฝึกซ้อม” รับมือกับภัยคุกคามในโลกจริง เช่น หากฝันว่ากำลังถูกไล่ล่า สมองอาจกำลังฝึกทักษะการเอาตัวรอดให้เราโดยไม่รู้ตัว

ในแง่นี้ ฝันร้ายจึงไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็น “ระบบเตือนภัย” ที่บางครั้งอาจช่วยปกป้องเรา

cf964c0e-9c94-4d7a-bf79-fcdea904ee3a.jpeg

🌱 วิธีจัดการเมื่อฝันร้ายบ่อย

  1. ดูแลสุขภาพการนอน: เข้านอนตรงเวลา พักผ่อนเพียงพอ

  2. ลดความเครียดก่อนนอน: ทำสมาธิ ฟังเพลงเบา ๆ หรืออ่านหนังสือ

  3. เขียนบันทึกความฝัน: เพื่อสะท้อนอารมณ์และหาปัจจัยกระตุ้น

  4. ลองเทคนิค IRT: เขียนตอนจบของฝันร้ายใหม่ให้กลายเป็นบวก

  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากฝันร้ายรุนแรงหรือลดคุณภาพชีวิต

✅ บทสรุป

แม้ฝันร้ายจะทำให้เราตกใจและหวาดกลัว แต่จากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ ฝันร้ายไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหรือต่อต้านเสมอไป ในบางกรณี มันอาจทำหน้าที่เหมือนสนามซ้อมของสมอง ที่ช่วยเราประมวลผลความทรงจำและเตรียมพร้อมรับมือกับอารมณ์ในชีวิตจริง

ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ แทนที่จะคิดว่าเป็นคืนที่เลวร้าย ให้มองว่ามันคือ “บทเรียนจากสมอง” ที่ช่วยให้เราแข็งแรงขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ

4fba02b7-a0d3-4570-a818-c7bb334bd9e5.jpeg

บทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อลูกน้อยพร้อมสำหรับอาหารเสริมเมื่อลูกน้อยอายุย่างเข้า 6 เดือน คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงกำลังตื่นเต้นกับช่วงเวลาสำคัญที่ลูกเริ่มเปลี่ยนจากการดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว มาสู่การทำความรู้จักกับอาหารเสริมตามวัย หรือที่เรียกว่า "อาหารบด" ถึงแม้ว่าน
เมื่อลูกน้อยพร้อมสำหรับอาหารเสริม
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดๆ ก็ตาม เช่น การเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย ล้วนมีความสำคัญและท้าทาย ขั้นตอนต่อไปคือการทำให้เป็นนิสัย หากการออกกำลังกายเป็นเพียงอีกหนึ่งภารกิจในรายการสิ่งที่ต้องทำที่ไม่มีวันสิ้นสุดของคุณ ก็คงไม่น่าจะยั่งยืน คุณมีแนวโน้ม
2025-08-07T07:21Z
เติมพลังให้ทุกวัน ด้วยการออกกำลังกายและดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
การยึดมั่นในนิสัยที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อย่างปีที่ผ่านมา หลายคนพบว่าตัวเองละเลยกิจวัตรที่เคยมี บางคนออกกำลังกายน้อยลง บางคนดื่มมากขึ้น ขณะที่เรารอการกลับสู่ภาวะปกติ บางทีนี่อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะหันมาสำรวจว่า นั
ทำไมการสร้างนิสัยที่ดีจึงยาก? และเราจะเปลี่ยนตัวเองได้อย่างไร

บทความล่าสุดดูเพิ่มเติม

ในโลกยุคใหม่ที่เร่งรีบ สุขภาพช่องปากกำลังกลายเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการแปรงฟันแบบดั้งเดิมจะสามารถทำความสะอาดผิวฟันได้ แต่กลับเข้าถึงบริเวณที่มองไม่เห็นได้ยาก เช่น ช่องว่างระหว่างฟันและร่องเหงือก ทำให้เศษอาหารและคราบพลัคสะสม นำไปสู่ป
เครื่องล้างช่องปากที่แนะนำในปี 2568 : เครื่องล้างช่องปากยี่ห้อไหนดีที่สุด?
ในโลกที่วุ่นวายทั้งเรื่องงานและการเรียน การงีบหลับมักถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเติมพลัง แต่คุณเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้างไหม: ก่อนงีบหลับ คุณเต็มไปด้วยความมั่นใจ วางแผนจะเติมพลังภายใน 20 นาที เพื่อรับมือกับความท้าทายในช่วงบ่ายให้ดีที่สุด แ
4 เทคนิคการนอนหลับ พร้อมตื่นมาด้วยความสดชื่น
ในชีวิตประจำวัน การนอนหลับถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างแท้จริง แต่ก็น่าแปลกที่หลายคนกลับมองข้าม “ที่นอน” ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่มีผลต่อคุณภาพการนอนอย่างมาก หากคุณเคยนอนแล้วรู้สึกปวดหลัง หลับไม่สนิท หรือสะดุ้งตื่น
ที่นอน Dream Town: เลือกยังไงก็นอนสบาย