เคล็ดลับคนรักกาแฟ: ดื่มแบบไหนดีต่อตับ?


คุณดื่มกาแฟตอนเช้าใช่ไหม? แล้วรู้ไหมว่ามันอาจช่วยดูแลตับของคุณได้ด้วย
หลายคนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟสักแก้ว เพื่อปลุกความสดชื่นและสลัดความง่วงให้ออกไป ไม่ใช่แค่ตอนเช้าเท่านั้น บางคนยังดื่มในช่วงบ่ายเพื่อเติมพลังอีกด้วย
เรามักจะได้ยินกันมาว่า “กาแฟมีประโยชน์” เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 และยังอาจช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย แต่ที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ กาแฟก็มีผลดีต่อตับของคุณด้วยเช่นกัน
ใช่แล้ว—นักวิจัยหลายคนกำลังศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างกาแฟกับสุขภาพตับ และจากผลการศึกษาที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มเชิงบวกออกมาอย่างชัดเจน
“เรามีหลักฐานชัดเจนว่ากาแฟมีประโยชน์ต่อตับ”
— ดร. จามิล วาคิม-เฟลมมิง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ กล่าว
แล้วกาแฟไปช่วยตับของเราได้อย่างไร? ดร. วาคิม-เฟลมมิง ได้อธิบายข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไว้อย่างน่าสนใจ เราจะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องนี้ต่อไป

กาแฟส่งผลต่อตับของคุณอย่างไร?
ตับเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของร่างกาย เพราะทำหน้าที่หลากหลายมาก ทั้งช่วยกรองของเสียออกจากเลือด ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหาร และยังเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันให้ร่างกายนำไปใช้ได้
แม้ว่าทางการแพทย์จะยังไม่เข้าใจทั้งหมดว่ากาแฟส่งผลต่อตับอย่างไร แต่ ดร. จามิล วาคิม-เฟลมมิง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ ก็ได้อธิบายว่าเรามีแนวทางที่พอจะอธิบายได้อยู่บ้าง
“กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบอื่นๆ ที่ช่วยลดการอักเสบในตับ”
— ดร. วาคิม-เฟลมมิง กล่าว
ตัวอย่างหนึ่งคือสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า กรดคลอโรจีนิก (CGA) ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถช่วยยับยั้งการสะสมของไขมันในตับ โดยกระตุ้นการสลายกลูโคส
นอกจากนี้ กาแฟยังอาจกระตุ้นกระบวนการที่เรียกว่า ออโตฟาจี (autophagy) ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพหรือเสียหายออกไป ช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกจุดสำคัญคือ กาแฟทำหน้าที่ยับยั้งตัวรับชนิดหนึ่งในร่างกายที่เรียกว่า อะดีโนซีน (adenosine receptor) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของตับ กระบวนการซ่อมแซม และการเกิดพังผืดในเนื้อตับ ดังนั้น การดื่มกาแฟจึงอาจช่วยชะลอการเกิดพังผืดหรือแผลเป็นในตับได้
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานบางส่วนที่บ่งชี้ว่า กาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับอักเสบซี ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสที่อาจลุกลามไปสู่โรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ โดยกลไกที่เป็นไปได้คือการลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรค
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากาแฟจะมีคุณสมบัติช่วย “ป้องกัน” ในบางแง่มุม แต่ก็ ไม่ใช่ยารักษาโรคตับ และยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่ากาแฟสามารถป้องกันมะเร็งตับได้โดยตรงหรือไม่
กาแฟและไขมันพอกตับ

กาแฟช่วยลดความเสี่ยงของไขมันพอกตับได้จริงหรือ?
โรคไขมันพอกตับจากการเผาผลาญที่ผิดปกติ (MASLD) หรือชื่อเดิมที่หลายคนคุ้นเคยว่า โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) คือภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับมากเกินไป โดยไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
ในสหรัฐอเมริกา พบว่าประชากรราว 1 ใน 4 คนมีภาวะนี้ และมักจะพบในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกิน เป็นเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดผิดปกติ หากปล่อยไว้นาน MASLD อาจพัฒนาไปเป็นตับแข็ง (ตับเป็นแผล) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับหรือตับวายตามมา
แล้วกาแฟเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า การดื่มกาแฟอย่างน้อย วันละ 3–4 แก้ว มีความเชื่อมโยงกับ ความเสี่ยงต่อการเป็น MASLD ที่ลดลง โดยกาแฟช่วยให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินดีขึ้น และส่งผลดีต่อผู้ที่เป็นเบาหวาน ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเกิด MASLD
สำหรับผู้ที่มี MASLD อยู่แล้ว การดื่มกาแฟเป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาโรคไปเป็นตับแข็งได้อีกด้วย
และสำหรับคนที่เป็นตับแข็งไปแล้ว งานวิจัยยังพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟมากกว่า มีแนวโน้มที่จะ มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคตับแข็งน้อยลง
ดื่มกาแฟแบบไหน ถึงจะดีต่อตับ?
ในยุคที่ร้านกาแฟมีเมนูละลานตา ทั้งลาเต้ คาราเมล มอคค่า พร้อมวิปครีมและท็อปปิ้งน้ำตาล คุณอาจเริ่มสงสัยว่าแบบนี้มันยังดีต่อตับอยู่ไหม?
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญชัดเจนมาก:
“กาแฟดำคือทางเลือกที่ดีที่สุด”
— ดร. จามิล วาคิม-เฟลมมิง กล่าว
หากคุณไม่ชอบดื่มกาแฟดำจริง ๆ ก็ยังมีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ เช่น ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เลือกนมพร่องมันเนยหรือนมจากพืช แทนครีมเทียมที่มีไขมันสูง
สิ่งสำคัญคือ พยายามหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาลและไขมันมากเกินไป เพราะสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับ (SLD) มักจะมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน และ โรคอ้วน ซึ่งน้ำตาลและไขมันอาจยิ่งไปกระตุ้นปัญหาให้แย่ลง

กาแฟดีแคฟก็ช่วยตับได้ แล้วควรดื่มเท่าไหร่ถึงจะดี?
ข่าวดีคือ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟธรรมดาหรือกาแฟดีแคฟ (ไร้คาเฟอีน) ก็สามารถช่วยดูแลตับได้ทั้งคู่ โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งส่งผลต่อโรคเบาหวาน—ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของไขมันพอกตับและโรคตับแข็ง
ล่าสุด สมาคมโรคตับแห่งอเมริกา (AASLD) ก็ออกมาแนะนำว่า กาแฟทั้งแบบมีคาเฟอีนและดีแคฟล้วนมีประโยชน์ต่อตับ
แล้วควรดื่มเท่าไหร่?
“เราขอแนะนำให้ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 3 แก้วเพื่อช่วยป้องกันปัญหาตับ”
— ดร. จามิล วาคิม-เฟลมมิง
หากคุณมีภาวะไขมันพอกตับ (SLD) หรือโรคตับอักเสบ การเพิ่มปริมาณกาแฟเป็น วันละ 4–6 แก้ว อาจให้ผลดีมากขึ้น
แต่ควรระวังเรื่องปริมาณคาเฟอีน โดยทั่วไป ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน (กาแฟชงหนึ่งแก้วมีคาเฟอีนราว 100–200 มก.) ซึ่งเป็นขีดจำกัดที่แนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงต่อร่างกาย
“บางคนอาจดื่มกาแฟเยอะไม่ได้ เพราะมีอาการปวดหัว ใจสั่น หรือวิตกกังวลได้ง่าย” ดร. วาคิม-เฟลมมิง เสริม
ดังนั้น หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับคาเฟอีน อาจเลือก กาแฟดีแคฟ เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่า แต่ยังคงได้ประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติดี ๆ ต่อสุขภาพตับอยู่เช่นกัน
กาแฟไม่ใช่ยาวิเศษ และบางคนอาจต้องหลีกเลี่ยง
แม้ว่ากาแฟจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพตับ แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทุกคน หากคุณมีภาวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้
เช่นเดียวกับในผู้ที่เป็น มะเร็งปอด—การดื่มกาแฟอาจส่งผลกระทบได้เช่นกัน ในกรณีเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มดื่มกาแฟเป็นประจำ
ดร. จามิล วาคิม-เฟลมมิง ยังเน้นย้ำว่า
“กาแฟไม่ใช่ยาวิเศษ ไม่สามารถรักษาโรคตับ หรือย้อนกลับความเสียหายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปได้”
แต่อย่างน้อย กาแฟก็สามารถเป็นหนึ่งใน “ตัวช่วย” ที่ดี และ เป็นก้าวเล็ก ๆ ที่อร่อยและน่าพอใจ สู่การมีตับที่แข็งแรงขึ้น
แนะนำสำหรับคุณ
ต้มยำกุ้ง: อาหารไทยคลาสสิกที่มีรสชาติเผ็ดเปรี้ยวและหอม
น้ำยาบ้วนปาก🛁 ไอเทมเพิ่มความมั่นใจประจำวัน
Samyang Ramen เผ็ดแค่ไหน? อร่อยจริงหรือแค่กระแส? มาม่าที่เผ็ดจนต้องร้องขอชีวิต!
คาเฟ่ อเมซอน: กาแฟระดับพรีเมียม เพื่อช่วงเวลาแห่งความสุข
คอมพลีทลุคด้วยไอเทมเดียว! เลือกสเปรย์เซ็ตติ้งที่เหมาะกับคุณ
เรียนรู้“30 วันที่ดีที่สุดในการการลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี