สีอุจจาระบอกอะไรเรา? รู้ทันสุขภาพลำไส้


หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า "สีของอุจจาระ" สามารถเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพภายในร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหารได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการย่อยอาหาร การทำงานของตับ ถุงน้ำดี หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการกินและการขับถ่ายในแต่ละวัน
นอกจากนี้ “การท้องผูก” ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้

การท้องผูก: เรื่องเล็กที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่
ท้องผูก คือ ภาวะที่การขับถ่ายไม่ปกติ ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออุจจาระแข็ง แห้ง ต้องออกแรงเบ่งมาก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ทำไมท้องผูกถึงอันตราย?
❗ สะสมสารพิษ: การที่อุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไปอาจทำให้สารพิษซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย
❗ ริดสีดวงทวาร: การเบ่งบ่อยๆ ทำให้หลอดเลือดที่ทวารหนักโป่งพอง
❗ ลำไส้ทำงานผิดปกติ: อาจส่งผลให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนเรื้อรัง
❗ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้: หากปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังโดยไม่รักษา
การสังเกตสีอุจจาระจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ในการประเมินสุขภาพลำไส้ของคุณเบื้องต้น

✅ สีน้ำตาลปกติ (น้ำตาลกลางถึงเข้ม)
-
ถือว่าเป็น สีอุจจาระปกติ และบ่งบอกว่าระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
-
สีนี้เกิดจากน้ำดี (bile) ที่ช่วยย่อยไขมัน ซึ่งเปลี่ยนสีเมื่อผ่านลำไส้
✅ สีน้ำตาลอ่อน หรือเหลืองอ่อน
-
มักพบในคนที่มีการเคลื่อนไหวของลำไส้เร็ว
-
อาจเกิดจากการทานอาหารที่มีไขมันสูง หรือระบบดูดซึมไขมันไม่สมบูรณ์ เช่น โรคตับ โรคถุงน้ำดี หรือโรคลำไส้บางชนิด
⚠️ สีเขียว
-
อาจเกิดจากการรับประทานผักใบเขียวจำนวนมาก หรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก
-
ถ้าไม่ได้ทานอาหารที่มีสีเขียว แต่ยังอุจจาระเขียว อาจเกิดจากการที่อุจจาระเคลื่อนตัวผ่านลำไส้เร็วเกินไป น้ำดีจึงยังไม่ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
⚠️ สีเทาหรือสีดินเหนียว
-
บ่งบอกว่าอาจมี ปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีหรือตับ เพราะน้ำดีไม่หลั่งออกมาตามปกติ
-
อาจเป็นสัญญาณของโรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมีนิ่วอุดตันในถุงน้ำดี
⚠️ สีเหลือง มัน ลอยน้ำ
-
อาจบ่งบอกถึงการดูดซึมไขมันผิดปกติ เช่น โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือภาวะตับอ่อนบกพร่อง
-
อุจจาระลอยและมันอาจเกิดจากไขมันที่ไม่ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์
❗ สีดำ
-
หากไม่ได้ทานอาหารเสริมธาตุเหล็กหรือยาเม็ดถ่าน (activated charcoal) สีดำอาจบ่งบอกถึง เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน เช่น กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก
-
ควรรีบพบแพทย์ทันที
❗ สีแดง หรือมีเลือดปน
-
อาจเป็นสัญญาณของ เลือดออกในลำไส้ใหญ่ หรือทวารหนัก เช่น ริดสีดวง หรือรอยแผลที่ทวารหนัก
-
หากเลือดสดและเกิดบ่อย ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ เพราะอาจเกี่ยวข้องกับ มะเร็งลำไส้ใหญ่
ดูแลสุขภาพลำไส้ง่ายๆ ด้วยพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
✅ ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 1.5–2 ลิตรต่อวัน
✅ รับประทานผัก ผลไม้ และใยอาหารให้เพียงพอ
✅ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
✅ อย่ากลั้นอุจจาระ และควรฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
✅ หมั่นสังเกต "ลักษณะอุจจาระ" ของตนเองเป็นประจำ
แนะนำทางเลือกง่ายๆ เพื่อช่วยการขับถ่ายเป็นเรื่องเบาใจ
หากคุณเริ่มมีอาการท้องผูก หรือระบบขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ การเสริม ไฟเบอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เห็นผลชัดเจนและปลอดภัย
✨ ขอแนะนำ: Posh Medica

🌿 ไฟเบอร์เสริมอาหารชนิดชงดื่ม รสอร่อย ดื่มง่าย ไม่ต้องฝืน
คุณสมบัติเด่น:
-
ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายอย่างอ่อนโยน
-
มีใยอาหารจากธรรมชาติ เช่น ไซเลียมฮัสก์ และอินนูลิน
-
ลดอาการท้องผูกและกลิ่นไม่พึงประสงค์ของอุจจาระ
-
ไม่ใส่น้ำตาล ไม่อ้วน เหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก
-
ช่วยให้รู้สึกเบาสบายตัวทุกวัน
วิธีดื่ม:
เพียงชง 1 ซองในน้ำเย็น วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน หรือหลังอาหารเย็น
เหมาะสำหรับ:
-
ผู้ที่ระบบขับถ่ายไม่ดี
-
คนที่กินผักน้อย หรือไม่มีเวลาดูแลเรื่องอาหาร
-
คนทำงานที่นั่งนาน ไม่ค่อยเคลื่อนไหว
-
ผู้ที่อยากเริ่มต้นล้างลำไส้แบบอ่อนโยน
“อุจจาระ” อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่สามารถเป็นสัญญาณสุขภาพที่สำคัญมาก สี กลิ่น ความถี่ และลักษณะของมัน ล้วนสามารถบ่งชี้ถึงสุขภาพของระบบย่อยอาหารและร่างกายได้อย่างชัดเจน
หากคุณพบว่าอุจจาระมีสีผิดปกติเรื้อรัง หรือมีอาการท้องผูกร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง และรับการดูแลที่เหมาะสม
ขอบคุณรูปภาพจากBangkok Dusit Medical Services
แนะนำสำหรับคุณ
คุณคิดว่าคุณกำลังบำรุงกระเพาะอาหารอยู่ แต่จริงๆ แล้วกลับทำร้ายกระเพาะอาหาร! นี่คือวิธีที่คุณสามารถบำรุงกระเพาะอาหารของคุณให้แข็งแรง
ผู้ใช้ TikTok ต่างพากันพูดถึงเคล็ดลับการแต่งหน้าที่เป็นไวรัลนี้ แต่จะปลอดภัยจริงหรือ?
ไม่อยากเหม็นตัวเพราะอากาศร้อนจัดของเมืองไทยใช่ไหม? เรามีเคล็ดลับดีๆ มาฝาก!
หน้าร้อนปี 2568 ของไทย ดื่มเครื่องดื่มเย็นอย่างไรให้ปลอดภัย!
คุณมีอาการท้องผูกหลังวันหยุดหรือเปล่า? ไม่ต้องกังวล เรามีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำ!
การนอนหลับคือกุญแจสำคัญของการลดน้ำหนักหรือไม่? ทฤษฎีที่ว่า "ยิ่งนอน ยิ่งผอม" เป็นวิทยาศาสตร์หรือแค่ข่าวลือ?